เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 23 ตุลาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของประชาชนชาวไทย ก็คือ วันปิยมหาราช วันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๓

    รุ่นของพวกท่านโดนตัดหลักสูตรภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ออก ก็เลยไม่ค่อยจะได้จดได้จำเรื่องสำคัญ ๆ ของประเทศชาติหรือของโลกเอาไว้ ต้องบอกว่าเรียนน้อยไป เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าประวัติศาสตร์นั้นจะบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าประเทศของเรามีที่มาที่ไปอย่างไร ไม่ใช่เอะอะก็ต้องไปดูที่ผนังนครวัด..! อะไรที่ไม่มีกูก็แกะเพิ่มเข้าไป เอาจนมี แล้วทุกวันนี้ก็โดนชาวประชาเขาตั้งชื่อว่า "ประเทศเคลมโบเดีย"

    นั่นคือลักษณะของบุคคลที่ขาดประวัติศาสตร์ของตน ต่อให้คิดว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าไม่คิดที่จะชำระประวัติศาสตร์ให้ชัดเจน ไม่ให้ลูกหลานศึกษาเอาไว้ ย่อมขาดความภาคภูมิใจในความเป็นเชื้อชาติของตน ในเมื่อขาดความภาคภูมิใจในความเป็นเชื้อชาติของตนยังไม่พอ ยังไปเอาแนวการศึกษาของทางตะวันตกเข้ามา แล้วก็เรียกร้องสิทธิมนุษยชนส่งเดช จะให้ต่างด้าวที่อพยพเข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมาย มีสิทธิในการเลือกตั้งเหมือนกับประชาชนคนไทย ไอ้นั่นมันบ้า..!

    ถามหน่อยว่าประชากรที่อพยพเข้ามา ไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือไม่ถูกกฎหมาย มีประเทศใดบ้างที่ไม่ต้องผ่านขั้นตอนต่าง ๆ นับ ๑๐ ปีหรือหลาย ๑๐ ปี กว่าที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศนั้น ? แล้วค่อย ๆ มีสิทธิ์มีเสียงขึ้นมาทีละน้อย แต่ว่าอันนี้ปุบปับให้เขามีสิทธิเท่ากับคนไทยโดยกำเนิดเลย ฟังดูอย่างไรก็ไม่ใช่ แล้วแนวคิดแบบนี้จะโดนแพร่กระจายออกไปเรื่อย ๆ ที่บรรดานักคิดเขาใช้คำว่า "ผลไม้พิษ" ก็คือแพร่กระจายออกไปแล้วก็สร้างโทษให้กับทั้งตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่าไปเรียนถึงเมืองนอกมา

    แต่เราท่านทั้งหลายก็จะเห็นว่าในการล้มล้างระบอบพระมหากษัตริย์ เพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยของบ้านเรา คือการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๕ นั้น ก็ดำเนินการโดย "นักเรียนนอก" มาถึงปัจจุบัน
    ที่ประเทศชาติยุ่งฉิบหายวายป่วงส่วนหนึ่งก็เพราะแนวคิดแบบ "นักเรียนนอก" ที่ดูถูกประเทศชาติของตนเองว่าล้าหลัง ไม่ทันสมัยเหมือนนานาอารยประเทศ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    อยากจะให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นไปเบิ่งตาตี่ ๆ ดูใหม่ว่า ตอนนี้ยุโรปอเมริกายุ่งฉิบหายวายป่วงขนาดไหน..!? จะได้รู้ว่าลัทธิหรือตลอดจนกระทั่งแนวทางการเมืองที่เขายกย่องหนักหนานั้น ไม่ได้มีความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงเลย โดยเฉพาะอเมริกา เจ้าพ่อประชาธิปไตย ขายสิทธิและเสรีภาพ กลับเป็นบุคคลที่ยึดถือว่ากำปั้นใครใหญ่กว่าคนนั้นได้เปรียบ..! ประชาธิปไตยบ้านไหนของมันก็ไม่รู้ ?

    หลักการปกครองนั้นสำคัญที่สุดก็คือทำให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดี อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระราชทานแนวคิดให้กับประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน บอกว่า "ถ้าคุณทำให้ชาวบ้านอิ่มท้องได้ ประชาชนจะสนับสนุนคุณเอง" แล้วท้ายที่สุดประเทศรัสเซียก็ได้รับการพัฒนา จนกระทั่งประชาชนพอมีพอกิน ชาติตะวันตกอื่นเห็นว่าจะเป็นอันตรายแก่ตนเอง เพราะว่าเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ก็หาทางยุให้ยูเครนไปรบด้วย..!

    แล้วตอนนี้ทางตะวันตกก็เห็นว่าทางเอเชียของเราสงบสุขจนเกินไป จึงหาเรื่องตั้งแต่ให้จีนกับไต้หวันทะเลาะเบาะแว้งกัน ให้ญี่ปุ่นกับเกาหลีทะเลาะเบาะแว้งกัน ให้เกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ทะเลาะเบาะแว้งกัน แล้วท้ายที่สุดก็ยุให้ประชากรไทยทะเลาะเบาะแว้งกัน แล้วก็เป็นเรื่องแปลกมากว่าคนพวกนี้สารพัดเรื่องฉลาดหมด แต่เรื่องแค่นี้กลับมักจะโง่ไปถนัดใจ..! ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักพิจารณาว่า สิ่งที่ตนเองทำไปนั้นใครได้ประโยชน์ ? โดนเขาจูงจมูกใช้งานไปนับครั้งไม่ถ้วนก็ยังไม่เข็ดอีก..!

    เราจะเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ของเรานั้นทรงค่อย ๆ ปล่อยพระราชอำนาจออกมาทีละเล็กทีละน้อย ไม่ว่าจะเป็นอำนาจในการบริหาร อำนาจตุลาการ เพื่อที่ให้ประชาชนค่อย ๆ ใช้อำนาจนี้ได้อย่างถูกต้อง ถ้าปล่อยออกมาทีเดียวก็จะมีการ "เหลิง" แล้วท้ายที่สุดก็จะ "หลง" ก็คือใช้เสรีภาพแบบไม่มีขอบเขต แล้วไปล่วงสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น แต่ก็มักจะมีไอ้พวกที่อ้างว่าหัวก้าวหน้า ต่างประเทศเขาทำกันแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่โคตรพ่อโคตรแม่ของมันก็อยู่ประเทศไทยนี่เอง..! แต่จะเอาต่างประเทศเป็นตัวอย่าง ถ้าวันไหนไม่มีประเทศจะอยู่แล้วถึงจะซาบซึ้ง..!

    ที่วันนี้ต้องมากล่าวเรื่องนี้ก็เพราะว่าความเสรีเริ่มปรากฏในสมัยรัชกาลที่ ๔ รัชกาลที่ ๕ มาเรื่อย ถึงขนาดในหลวงรัชกาลที่ ๓ ปรารภว่า "ศึกข้างพม่า ตลอดจนกระทั่งรอบบ้านของเราไม่เป็นที่หนักใจแล้ว จะมีแต่ข้างตะวันตกเท่านั้น ถ้าเราได้ศึกษาเรียนรู้วิธีการของเขา ก็จะได้เอามาปรับแก้ไข เพื่อให้บ้านเราเมืองเรามีความทันสมัย ตลอดจนกระทั่งรู้เท่าทันอีกฝ่ายได้"

    แม้กระทั่งองค์ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ส่งบรรดาพระราชโอรสไปศึกษาเล่าเรียนต่างประเทศ ก็ย้ำชัดเจนว่า "อย่าได้นับถือเลื่อมใสไปทั้งหมดเสียทีเดียว" นำเอาสิ่งที่ดีกลับบ้านกลับเมืองของเรามาพัฒนาประเทศชาติ นั่นคือสายพระเนตรที่ยาวไกลมาก
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    และในช่วงที่สงครามโลกเกิดขึ้น เรามีในหลวงรัชกาลที่ ๘ และรัชกาลที่ ๙ ซึ่งศึกษาเล่าเรียนแบบตะวันตก แต่ว่ายึดมั่นในความเป็นไทย ในความเป็นตะวันออก นำประเทศชาติของเราหลุดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ พวกเราจะเห็นว่ารอบบ้านของเรา ไม่มีประเทศไหนที่ไม่โดนฝรั่งเศสหรือว่าอังกฤษยึดครอง แต่ประเทศไทยของเรารอดพ้นมาได้ด้วยพระราชกุศโลบาย ในการผูกสัมพันธ์กับนานาอารยประเทศจนเขาเกรงใจ ประเทศที่ตกต่ำหลังสงครามจึงได้รับการยอมรับจากทางยุโรปและอเมริกา ยอมปล่อยเงินให้กู้ ทำให้เราค่อย ๆ พลิกฟื้นเศรษฐกิจขึ้นมาได้

    แต่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็มองเห็นว่า ถ้าปล่อยให้เรื่องของอุตสาหกรรมนำประเทศชาติ มีแต่จะล่มจม เนื่องเพราะว่าเติบโตรวดเร็วเท่าไร ก็ล้างผลาญทรัพยากรมากเท่านั้น ท้ายที่สุดก็ทรงมอบ "ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง" ออกมา ที่ปัจจุบันนี้ทั่วโลกล้วนแล้วแต่เคารพเลื่อมใส ว่าพระองค์ท่านคิดออกมาได้อย่างไร ? แต่คนไทยไม่ค่อยทำกัน

    ดังนั้น..การที่สถาบันพระมหากษัตริย์ยืนหยัดมา ผ่านร้อนผ่านหนาวทุกยุคทุกสมัยจนถึงปัจจุบัน ย่อมมีคุณค่าและความสำคัญอยู่ในตัวอยู่แล้ว ประชาชนคนไทยที่มีจิตสำนึกในการรักสถาบัน จึงไม่ยอมให้อะไรมากระทบกระทั่ง ไม่ใช่ไปลดความสำคัญลงมาให้เท่ากับคนทั่วไป เพราะว่าองค์ประมุขของประเทศก็ดี ผู้นำของประเทศก็ตาม ไม่ว่าประเทศไหนก็มีกฎหมายคุ้มครองเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเท่านั้น

    "ถ้าไม่ใช่มันเรียนจนโง่ ก็แปลว่ามันตั้งใจแกล้งโง่..!" จึงเป็นเรื่องที่เราท่านต้องตระหนักว่าในเรื่องของสถาบันหลัก ไม่ว่าจะเป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นั้น ยังจำเป็นที่จะต้องยืนหยัดคู่กับสังคมไทยไปชั่วกาลนาน

    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าปัจจุบันประเทศชาติของเรา ไม่ว่าจะขยับทำอะไรขึ้นมาก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด คนอื่นเขาอิจฉาที่บ้านเราเมืองเราสุขสงบมากกว่า พยายามที่จะมาก่อกวน แล้วก็มี
    "ไอ้พวกโง่แล้วอวดฉลาด" ไปช่วยเขาก่อกวนให้บ้านเมืองของตนเองเละเทะวุ่นวาย ถ้าเป็นไปในลักษณะอย่างนี้ก็ต้องบอกว่า "เหนื่อยกันอีกนาน..!"

    แต่ก็ถือเป็นภาระ ถือเป็นหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร ข้าราชการ มีหน้าที่ในการค้ำจุนสถาบันชาติและกษัตริย์พร้อมกับประชาชน พระภิกษุ สามเณร แม่ชี ฆราวาส มีหน้าที่ในการค้ำจุนพระพุทธศาสนาพร้อมกับประชาชน ถ้าทุกคนตระหนักในหน้าที่ของตนเองอย่างแท้จริง บ้านเราเมืองเราก็จะไม่วุ่นวายเดือดร้อนมากมายในสถานการณ์โลกปัจจุบันนี้ แต่ถ้าหากว่ายังคงเป็นอยู่ในลักษณะกลัวว่าบ้านเมืองจะไม่วุ่นวาย ลักษณะเช่นนั้นก็ต้องบอกว่าเป็นเวรเป็นกรรมของประเทศและพวกเราเอง..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...