เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    37085192_1033715846804954_1243269547587272704_o.jpg

    สัมปจิตฉามิ

    ผู้ถาม : เวลาท่องคาถา "สัมปจิตฉามิ" ท่องไปไม่เกิน 10 ครั้งมีความรู้สึกว่าเงียบไปทุกที เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ทำใหม่ ก็ปรากฏว่าเป็นอย่างนี้อีก ก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไรและจะแก้ไขอย่างไรดีเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : เป็นเพราะมันเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องแก้ไขอย่างไร ก็ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะจิตเข้าถึงฌานที่ 2 ขึ้นไป

    ตอนที่ภาวนาอยู่จิตอยู่ที่ฌานที่ 1 พอจิตเข้าถึงฌานที่ 2 ก็ตัดภาวนา อันนี้ดีมากนะ ไม่ใช่เลว เก่ง คนนี้ต้องถือว่าเก่งมาก เข้าถึงฌานที่ 2 ตัวไม่ภาวนาคือ ฌาน 2,3,4 นี่ไม่ภาวนา มันตัดเองนะเราอย่าไปช่วยตัดเข้า อย่างนี้ดีมากปล่อยตามนั้นนะ ทำจิตเป็นฌานไม่ช้าจะเป็นผลในที่สุด ยังไงจะไปวัดท่าซุงไม่ต้องใช้รถก็ได้ถ้าถึงที่สุด

    ผู้ถาม : ไปได้หรือครับ ?


    หลวงพ่อ : ได้แน่ อันนี้ตรงเป๋ง

    ผู้ถาม : แหม....ได้ตอนนี้ก็ดีน้ำมันก็แพง แป๊ปเดียวถึง

    หลวงพ่อ : ถ้าถึงขั้นนั้นอภิญญาเข้าทัั้งหมด ถือว่าเป็นอภิญญาของท่าน ถ้าทำถึงจุดปลายทางนะคืออภิญญาห้า

    ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปเป็นอภิญญาหก นี่ท่านมาแนะนำให้ อย่างพวกเราเคยผ่านมาแล้วเป็นของสำหรับคนที่ได้มาแล้วจึงจะมีผล คนที่ทำไปเรื่อยๆตามนั้นนะ แล้วอย่านึกว่าอยากได้อภิญญานะ ตัวฟุ้งซ่านนะ นึกว่าเอ๊ะกูจะเหาะละว๊ะๆ เลยอดเหาะเลย

    ผู้ถาม : เกิดเหาะไปวัดท่าซุงได้แต่กลับไม่ได้ละครับ ?

    หลวงพ่อ : ถ้าเหาะนี่ต้องไปได้มาได้ไม่ใช่ปิติ ถ้าอุพเพงคาปิติ ลอยไปที่ใดที่หนึ่งปิติเคลื่อนมาไม่ได้ แต่อันนี้มันบังคับได้เลยตามใจชอบ ดีไม่ดีไปโลกอัังคาร
    พระศุกร์ พระเสาร์ แข่งกับฝรั่ง ฝรั่งลงทุนมากเราไม่ต้องลงทุนเลย บางครั้งเผลอไม่ทันจุดธูป แป๊ปเดียวถึง

    ผู้ถาม : ข้างในไปหรือข้างนอกไป หรือไปทั้งข้างในข้างนอกครับ

    หลวงพ่อ : อันนี้ไปได้หมด ขี้เข้อไปหมด ตัวนี้เป็นอภิญญาใหญ่ นี่คาถาอภิญญาใหญ่นะ สำหรับคนที่ได้มาในชาติก่อน

    อภิญญาใหญ่ถ้าหากคนที่ไม่ได้มาในชาติก่อน ต้องเริ่มด้วยกสิณ 10 อันนี้สำหรับคนที่เคยได้มาแล้วนะ

    ***** ใครอยากเหาะได้ก็หมั่นท่องเข้าไว้นะ นอกจากผลทางด้านอภิญญาแล้วในด้านการป้องกันไสยศาสตร์ก็มีผลมาก มิหนำซ้ำยังย้อนกลับสู่ผู้กระทำเสียอีก

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 147 พฤษภาคม 2536 หน้า 79-80)
     
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    spec34.jpg

    ภาวนาสัมปจิตฉามิเห็นโครงกระดูก

    ผู้ถาม : ลูกสวดมนต์แล้วนั่งสมาธิแล้วก็เข้านอน

    หลวงพ่อ : เดี๋ยว ลูกโตหรือลูกเล็ก ?


    ผู้ถาม : ลายมืออย่างนี้ตามลักษณะโหงวเฮ้งอย่างน้อยๆ ก็ 60 กว่า ผมก็กะๆเอานะครับ

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : แล้วก็ภาวนาว่าสัมปจิตฉามิ เอ๊ะ จะว่า "สัมปจิตฉามิ" หรือ "สัมปติจฉามิ" ครับ ?

    หลวงพ่อ : "สัมปจิตฉามิ" นี่ขับเหตุร้าย ภูติผีปีศาจและอันตรายต่างๆ

    "สัมปติจฉามิ" ตัวกัน กันแล้วเร่งรัดความดีด้วย เร่งลาภสักการะด้วย

    เอ้าว่าต่อไป

    ผู้ถาม : ลูกนอนตะแคงข้างขวา อ้าวตอนนี้เป็นลูกแล้ว

    หลวงพ่อ : แสดงว่าลูกหนู ไม่ใช่แม่หนู (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : มีความรู้สึกว่ามีใครมานอนข้างหลัง ลักษณะเป็นโครงกระดูกทั้งร่าง หนูจะหันกลับมาก็ไม่กล้า

    ขอเรียนถามหลวงพ่อว่าสัมปจิตฉามิ ทำไมจึงกลายเป็นกระดูกเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : ดีนะน่ะ เขาเอากระดูกมาช่วยให้ ถ้ากระดูกส่วนไหนหักเอากระดูกส่วนนั้นมาเติม

    ผู้ถาม : โชคดีนะไม่ได้หันไป ถ้าหันไปละไข้หัวโกร๋นเลย

    หลวงพ่อ : คือว่า "สัมปจิตฉามิ" เป็นคาถาของอภิญญา นี่เป็นอภิญญาตรงนะ

    คือว่าคนไทยที่เคยได้อภิญญาเมื่อชาติก่อน ถ้าใช้คาถาบทนี้สมาธิเต็มกำลังอภิญญาจะเข้าเต็มที่

    ฉะนั้นเมื่อคาถาเป็นอภิญญา เวลาภาวนาไปความเป็นทิพจักขุญาณก็แจ่มใส ในเมื่อความเป็นทิพย์แจ่มใส กรรมฐานในชาติก่อนโดยเฉพาะอสุภกรรมฐานกองสุดท้าย คือ กองที่ 10 คือ "อติกังปฏิกุลัง" แปลว่ากระดูกนี้เป็นปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก

    คือเขาเคยเจริญอสุภกรรมฐานมาแล้วตั้งแต่ข้อต้นยันข้อปลาย ในข้อปลายเป็นฌาณสมาบัติ เคยได้มาแล้วในชาติก่อน ฉะนั้นควรจะจำภาพนี้ไว้นะ เวลาเริ่มเจริญกรรมฐานก่อนภาวนาใดๆนึกถึงตัวนี้ก่อนว่าร่างกายในที่สุดก็มีสภาพเหลือแต่กระดูกแบบนี้ ร่างกายคนอื่นก็เช่นเดียวกัน เราหวังนิพพานจุดเดียว อันนี้ดีมาก

    ผู้ถาม : แสดงว่าคนที่นั่งสมาธิแล้วเห็นอะไรต่อมิอะไร เห็นซ้ำเห็นซาก เห็นมากเห็นน้อยอยู่บ่อยๆเสมอแสดงว่าของเก่าเคยทำอย่างนั้นมาหรือครับ ?

    หลวงพ่อ : ของเก่าเป็นปรกติ บางคนก็เห็นเป็นเลขหวยบ้างอะไรบ้าง กินเสียหมด (หัวเราะ)

    เดี๊ยวก่อนถ้าเห็นชัดนะแล้วไปเข้ารูปกรรมฐานตรง ถ้าเขาเคยได้กองไหนมาถ้าสมาธิเข้าถึงอุปจารสมาธิ เวลานั้นจิตเป็นทิพย์สามารถได้ยินสิ่งที่เป็นทิพย์ได้ เห็นภาพที่เป็นทิพย์ได้ กรรมฐานกองเดิมจะปรากฏ ถ้ากรรมฐานกองเดิมปรากฏให้จับเลย และกองนั้นจะเป็นฌานถึงที่สุดไม่เกิน 7 วัน

    เวลาฉันฝึก หลวงพ่อปานแนะนำแบบนี้นะ ฉันก็ว่าไปทำไปๆ พอจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิแล้วมันก็เลยถึงฌาน จิตพลัดลงมาเข้าสู่อุปจารสมาธิิแล้วกรรมฐานเก่าก็ขึ้น

    อันดับแรกหลวงพ่อปานท่านสอนให้จำกรรมฐานทั้ง 40 กองได้ให้หมด ว่าอะไรเกิดขึ้นจะได้รู้ว่าเป็นกรรมฐานกองไหน

    ประการที่ 2 จำคำภาวนาได้หมดทั้ง 40 กอง เมื่อใช้ถูกต้อง ถ้าใช้ถูกต้องแล้วไม่เกิน 7 วันกรรมฐานกองนั้นถึงที่สุด แต่จริงๆแล้ว 3 วัน 3 วันนี่ทรงตัวแน่นอนแล้วก็ย่ำต๊อกไปอีก 4 วันเพื่อความมั่นคง เมื่อทรงตัวแล้วเราก็ใช้กรรมฐานกลางใช้อานาปาอย่างเดียว พอจิตเข้าถึงที่สุดพอลดตัวลงมาก็ขึ้นใหม่อีกต่อเป็นขั้นๆไป ผลที่สุดไล่ไปไล่มาหมด 40 กอง 40 กองได้ทั้งหมดเดือนเศษๆ ถ้าทำถูกหลักถูกเกณฑ์มันเร็ว ทีี่ทำกันมาก็ว่ากันเฉื่อยไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ ใช่ไหม

    คือหลวงพ่อปานท่านมีลีลาหลายอย่าง ท่านมาแนะนำก่อนบวชท่านให้ดูวิสุทธิมรรคก่อนทั้ง 3 บรรพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมาธิในด้านสมาธิ 40 กอง ท่านบอกว่าก่อนที่จะอ่านหนังสือฉบับนี้ให้จุดธูปบูชาพระพุทธเจ้าก่อนแล้วอธิษฐานว่าถ้าข้าพระพุทธเจ้าได้กรรมฐานกองไหนมาในชาติก่อน ขอให้ชอบกองนั้น ดูไปแล้วมันชอบทุกกอง พอชอบทุกกองท่านก็แนะนำว่ากองไหนทำได้เร็วกว่าเพื่อน ขอให้ชอบกองนั้น เมื่อดูกองที่ชอบที่สุดเราก็ทำ ทำไม่กี่วันแค่ 2 วันก็ถึงฌาน 4 และต่อมาก็ขึ้นเรื่อยๆก็จับได้หมด

    ทีนี้จะทำกองต่อๆไป ถ้าเราได้กองที่ 1 แล้วเวลาขึ้นต้นกองใหม่ให้ทำกองที่ 1 ให้ได้ถึงที่สุดก่อนแล้วทำกองที่ 2, 3 ไป ต้องย้อนต้นเสมอ ไล่ไปไล่มาแบบนี้นะ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 147 พฤษภาคม 2536 หน้า 81-82)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2020
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UPUHjXhznzNOwxlqx5wNCi6DbNXCEnjeW-7AyZvKp4j6 (1).jpg

    ภาวนาสัมปจิตฉามิแล้วฝันเหาะได้

    ผู้ถาม : ภาวนาสัมปจิตฉามิแล้วหลับไป ปรากฏว่ามันเหาะได้เสมอๆอย่างนี้แสดงว่าในอนาคตจะได้อภิญญาหรือเปล่าคะ

    หลวงพ่อ : ปัจจุบันก็ได้แล้วนะ อภิญญาต้องใช้เวลาหลับ แต่ความจริงถ้าฝันว่าเหาะได้ ถ้าเอาความฝันนะเขาถือว่างานที่ต้องการนั้นสำเร็จผล แต่ถ้าฝันว่าเหาะได้จริงกำลังใจเริ่มดีแล้ว ทำไปเรื่อยๆนะ

    ผู้ถาม : ที่ในหนังสือธัมมวิโมกข์เขียนไว้บอกว่าถ้าภาวนาไปเรื่อยๆวันละ 1 ชั่วโมง จะมีผลคล้ายอภิญญา

    หลวงพ่อ : คือท่านเจ้าของท่านบอกอย่างนั้น คาถาบทนี้ไปได้ที่นิวซีแลนด์ นอนอยู่ที่เมืองควีนทาวน์

    ท่านบอกให้ท่านบอกว่าเป็นคาถาของอภิญญา ใครเขากลั่นแกล้งเราด้วยกรณีใดๆก็ตาม เขาได้รับผลนั้นโดยฉับพลัน ถ้ากำลังใจดีนะ แล้วท่านบอกว่าใช้กำลังใจเรื่อยๆไปวันหนึ่งประมาณ 1 ชั่วโมง นั่งก็ได้นอนก็ได้ ทำเรื่อยๆไปพอถึงที่สุดก็จะเหาะได้ ไม่ใช่ลอยเฉยๆนะ เหาะนี่ต้องการจะไปไหนมันไปได้ ถ้าลอยดีไม่ดีหล่นตุบข้างทาง ลอยก็เหมือนเขาจับโยน จะลงที่ไหนบังคับไม่ได้ ถ้าเหาะนี่เราบังคับได้ ถ้าเหาะได้เมื่อไรอภิญญาทั้ง 10 ครบถ้วนเมื่อนั้น ไม่ใช่ได้แต่เหาะอย่างเดียว


    "สัมปจิตฉามิ" เป็นคาถาอภิญญารวม นั่นหมายความว่าคนนั้นต้องได้อภิญญาในชาติก่อน เอามารวมใช้นั่นเองแบบ "นะมะ พะธะ"

    "นะมะ พะธะ" นี่ก็เป็นมโนมยิทธิรวมเหมือนกัน เป็นอภิญญาเล็กรวม คือว่ามโนมยิทธิถ้าฝึกจริงๆต้องใช้กสิณ 10 รวม ถ้าไม่เคยได้มาก่อนนั้น ต้องฝึกกสิณ 10 ให้คล่องตัวแล้วมาฝึกอภิญญาใหม่

    ทีนี้เราไม่ต้องใช้เพราะเคยฝึกมาได้ในชาติก่อนก็เอามารวมใช้ทีเดียว ค่อยๆเรียกมา อย่างอภิญญาใหญ่ก็เหมือนกัน แสดงว่าคนเริ่มมีกำลังใจเข้มแข็งขึ้น ท่านจึงให้คาถาบทนี้

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 147 พฤษภาคม 2536 หน้า 80)
     
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    พรหลวงพ่อ

    สำหรับวันนี้ ขอให้ตั้งใจรับพรนะ ขอให้พรคนที่นี่ทั้งหมด คนที่อยู่บ้านทั้งหมด คนที่ยังไม่เกิดทั้งหมด ที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา

    และ "ถ้าเป็นเครือที่เป็นเผ่าพันธุ์มาแล้วตั้งแต่อดีต" ขอให้มีผลตามพุทธประสงค์ทุกคน


    เวลาว่างๆ นั่งนึกก็ได้ เดินไปก็ได้ ไม่ห้ามเลยนะ ให้มัน(คาถาเงินล้าน) ติดใจอยู่อย่างนั้น ให้ถือว่เป็นกรรมฐานไปในตัวเสร็จ เพราะคาถาที่พระพุทยเจ้าบอกทุกบท

    ก่อนจะทำต้องนึกถึงท่าน ถือว่าเป็น พุทธานุสสติ

    จึงขอให้ทุกคน ถ้าได้รับคาถาเงินล้านนี้ไป ให้ตั้งใจปฏิบัติด้วยความจริงใจ ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า

    ให้ทุกคนตั้งใจนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    คิดว่าคาถาทั้งหมดนี้จงปรากฏในจิตของเรา ลาภผลต่างๆให้ปรากฏแก่เรา ตามที่พระองค์ทรงต้องการนะ นึกถึงท่านนะ


    (จากหนังสือ พ่อสอนลูก เล่มหน้าปกสีทอง หน้า 10)


    อยากตัดกามารมณ์


    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา ลูกอยู่ตลิ่งชันลูกเป็นวัยสะรุ่นอายุ 17 ปี ที่เดือดร้อนอยู่ก็คือว่าไอ้เรื่องอารมณ์ทางเพศ ลูกพยายามเอาอสุภกรรมฐานกับกายคตานุสสติของหลวงพ่อไปตัดเพื่อให้มันเด็ดขาด แต่มันก็ได้ชั่วครั้งชั่วคราว พอไปเจอหนุ่มเจอพวกเข้ามันก็คึกอีก ก็ไม่ทราบว่าจะทำยังไง ลูกกลุ้มใจเหลือเกิน ขอบารมีหลวงพ่อช่วยตัดกามารมณ์ของลูกสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) โอ้...นี่ยุ่งแล้ว จะลุกไม่ค่อยจะไหวเลย เอางี๊ซิเพื่อความสะดวก แต่งงานเสียเลยนะ

    ผู้ถาม : อย่างนี้คลายเคลียดแน่นะ

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) ใช่ๆๆ ก็คลายเคลียดก็เจริญกรรมฐานต่อไป อย่างนางวิสาขาไงเล่า

    นางวิสาขาท่านเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ปี อายุ 16 ปีก็มาแต่งงาน ไอ้หนูนี่เกินไปปีหนึ่งแล้ว

    ผู้ถาม : แล้วยังมีลูกมีเต้าเป็นระนาว....

    หลวงพ่อ : แค่ 20 คน

    ผู้ถาม : โอ้โฮ นี่พระโสดาบันเขายังคลายเคลียดได้

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) ใช่ๆๆ เรื่องอย่างนี้มันตัดกันไม่ออก ต้องเป็นพระอนาคามี ถ้ายังไม่ถึงอนาคามีคือพระโสดาบันกับสกิทาคามีนี่ยังต้องแต่งงานอยู่เวลามันเคลียดขึ้นมา (หัวเราะ) จิตเป็นฌานง่ายใช่ไหม

    ผู้ถาม : ถ้าอย่างนั้นก็ ถ้าจะตัดจริงๆถ้าจะไม่แต่งงานก็ต้องเป็นพระอะไร พระอนาคามี

    หลวงพ่อ : ใช่ๆๆ ค่อยๆเป็นนะ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่่ 111 พฤษภาคม 2533 หน้า 15-16)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2024
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    6738_167106960133431_367782278_n.jpg

    พระท่านสอนการทำกำลังใจก่อนหลับและตื่น
    (หลังจากสอนกรรมฐานคืนวันที่ 8 ก.พ. 31 แล้ว หลวงพ่อบอกว่า)

    หลวงพ่อ : พระท่านสั่งถึงญาติโยมทุกคน มีคนยืนข้างนอกไหม

    (มีเยอะครับ)

    ท่านบอกว่าทุกคนมีจิตเข้มข้นมาก ข้างในก็ดีข้างนอกก็ดี โดยเฉพาะข้างนอกหนักไม่งั้นยืนไม่ไหว

    ท่านก็เลยบอกว่า "ทุกคนก่อนจะหลับหรือตื่นใหม่ๆ ตั้งใจจำภาพพระพุทธรูปหรือคนที่เคยเห็นพระพุทธเจ้าด้วยทิพจักขุญาณนะ จับภาพพระพุทธเจ้าไว้ก่อนหลับหน่อยหนึ่ง

    หรือตื่นใหม่ๆไม่ต้องนั่งก็ได้นอนก็ได้ นอนลืมตาดูท่านหรือหลับตานึกถึงท่าน จะภาวนาก็ได้ แต่ห้ามภาวนาด่า นี่ท่านไม่ได้ห้ามนะฉันห้ามเอง ก็ถามท่านว่ามีผลอย่างไร ท่านบอกจะรู้ผลเองเมื่อตาย นี่ท่านพูดเองนะ

    ทีนี้ท่านย่าท่านยืนกับแม่ศรี ท่านก็หัวเราะ ย่าบอก "คุณ 100 เปอร์เซ็นต์"

    แต่ความจริงจับภาพพระพุทธเจ้านี่ดีนะ ฉันเคยไปหลับที่บ้านบนหลายหนก่อนป่วยหนัก ฉันก็หลับอยู่บนบ้านนั้นแหละ บ้านสูงเดินเที่ยวไปเที่ยวมาอยู่บนนี้ดีกว่า เดี๋ยวไอ้ตัวล่างหลับแหงแก๋ไปแล้ว มันตัดกันนี่นะ มันหลับไปเราก็สบาย ลงโน่นนั่นแหละตี 5 หรือไม่ก็ 6 โมงเช้าสบายโก๋ ความจริงจิตเป็นสุขถ้าทำอย่างนี้ทุกวันนะ

    ผู้ได้มโนมยิทธิน่ะขึ้นไปเลย ถ้าก่อนนอนขึ้นไม่ไหว เช้ามืดตื่นปั๊ปขึ้นไป ให้มันชินต่ออารมณ์ ถ้าชินต่ออารมณ์ก็มีความรักในสถานที่นั้น ถ้าเวลาจะตาย ใจมันไปที่มันรัก

    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ มีนาคม 2531)
     
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    พุทโธ

    คำว่าเทศน์นี่แปลว่าแสดงนะ พูดให้ฟัง

    ไม่ได้หมายความว่าขึ้นธรรมาสน์ ถือใบลานหรือครับ ?

    ไม่จำเป็นๆฉันนั่งบนธรรมาสน์ ธรรมาสน์คือพระอาสน์เป็นที่แสดงธรรมก็คือพระเก้าอี้ ไอ้ธรรมาสน์แบบนี้มันนิ่มดี

    เรื่องที่ยกทรง (ทายก) พูดเมื่อกี้นี้มันไปเกี่ยวกับเรื่องหลวงพ่อปานจะเทศน์เรื่องนี้โดยเฉพาะ หลวงพ่อปานเวลาท่านอบรมกรรมฐานไอ้ตอนสอนฉัน โดยเฉพาะอีกเรื่องต่างหากนะ มาถึงวันพระกลางเดือนท่านมักจะเรียพระมาอบรม ใครจะทำก็ทำ ไม่ทำก็แล้วไปไม่ว่าอะไรไม่ขัดใจใครนะ แล้วท่านก็ลงท้ายว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คเหตวา" แปลว่า เรารับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

    ถ้าใครไม่ทำก็ลงนรกไป คือหลวงพ่อปานท่านเล่าให้ฟังยังงี้....เมื่อสมัยท่านเป็นเด็กๆยังเล็กอยู่นะ ก็ไปเล่นอยู่ใต้ถุนบ้านย่า บ้านย่ากับบ้านท่านน่ะติดกัน ทีนี้คุณย่าของท่านกำลังจะตายก็เสียงข้างบนเขาบอก "พุทโธ พุทโธ พุทโธ ไว้นะ"

    พุทโธ ๆ ๆ ๆ เดี๋ยวคนนั้นมาก็พุทโธ คนนี้มาก็พุทโธ ใช่ไหม ท่านเป็นเด็ก ก็จำได้ก็วิ่งไปวิ่งมาก็พุทโธๆ นะ อีตอนนั้นไม่เท่าไหร่ อีตอนกินข้าวเย็นซิกำลังกินข้าวเย็นอยู่ในวงใช่ไหม ท่านกินข้าวก็นึกขึ้นมาได้ก็ว่า "พุทโธๆ ๆ ๆ"

    แม่จับโยนปังไปกลางนอกชานบอก "มึงจะตายโหงตายห่าอย่ามาตายที่นี่เลย" (หัวเราะ) แบบเดียวกับเรื่องเมื่อกี้นี้ท่านบอกว่าคำว่า "พุทโธ" นี่ฝอยท่วมหลังช้าง สมัยก่อนคำอธิบายนี่เขาเรียกว่าฝอยใช่ไหม เขียนๆคำอธิบายใส่เศษกระดาษวางเลย

    หลังช้างยังไม่พอเลย คุณสมบัติเฉพาะคำว่า "พุทโธ" คำเดียว ทั้งนี้เพราะอะไรพุทโธ

    ถ้าเราอยากจะเป็นคนมีเมตตามหานิยม ก็นึกถึงพระพุทธเจ้า ภาวนา "พุทโธ" ไว้ ไปที่ไหนก็มีคนเมตตา


    ทีนี้อยากจะเป็นคนแคล้วคลาดหนังเหนียวก็ใช้ศัพท์คำว่า "พุทโธ" คำเดียวก็ใช้ได้

    อันนี้เมตตา อันนี้แคล้วคลาด ก็ใช้ได้ทุกอย่าง ฝอยท่วมหลังช้างนะ

    เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่ามีนักเลงคณะหนึ่งที่บางระมาด และ ตลิ่งชัน

    อยู่ ธนบุรี นี่อีกแล้ว

    ใช่ๆ ๆ บ้านยายอยู่ ธนบุรี ก็มี อาจารย์เทศน์ อาจารย์เทศน์ ท่านมีชื่อเสียงมาก แล้วก็สอนลูกศิษย์ให้หนังเหนียวแคล้วคลาด โดยใช้ศัพท์คำว่า "พุทโธ" คำเดียวหนังเหนียว

    คือว่า "พุทโธ" หนังเหนียว ใช่ไหม มันมีอยู่ครั้งหนึ่งนักเลงซึ่งเป็นรุ่นน้องของน้าท่านนะ ชื่อ "ปาน" เหมือนกัน ไม่ใช่หลวงพ่อปานนะ ชื่อ "ปาน" เหมือนกัน เป็นนักเลงที่ตลิ่งชัน นักเลงใหญ่คนกลัวมากแต่ว่าคนนี้ไม่เกเรใครนะ เป็นนักเลง นักเลงสมัยก่อนเขาไม่ใช่อันธพาลนี่เป็นบุคคลที่คนรัก ถ้าใครมีทุกข์ที่ไหนไปช่วยที่นั่น ของหายช่วยตามอะไรๆ พวกนี้นะ ใครถูกข่มเหงก็ไปช่วยแก้ไขให้ นี่เป็นบุคคลที่คนรัก แต่ก็เป็นคนหนังเหนียว แต่ว่าถ้าใครมารวนกับคนตำบลนั้น นักเลงก็ออกหน้าตี ต้องออกหน้าเขาทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องของตัว แต่คนตำบลนั้นไม่ได้ ใครมาโกงไม่ได้ ฉะนั้นนักเลงตลิ่งชันกับนักเลงบางระมาด ก็เป็นนักเลงประสานกัน นักเลงบางระมาดเป็นลูกพี่ นักเลงตลิ่งชันเป็นลูกน้อง ร่วมกันสองตำบลใช่ไหม

    มีวันหนึ่งนักเลงคือพี่ปานนี่ ฉันเรียก "พี่ปาน" นะ ฉันทันแกก็มาหาน้าที่บางระมาดมาคุยกัน กลับไปก็ดึกไปหน่อย เมื่อเดินไประหว่างทางก็อยากนํ้าเห็นไร่อ้อยของเจ๊ก เจ๊กเขาทำไร่อ้อยใช่ไหม แกก็อยากจะกินนํ้า เอามีดเข้าไปตัดอ้อยลำเดียว เจ๊กกรูมาเป็นฝูงเลยจับมัด แกสู้ไม่ได้
    เอ้า ! มัดก็ยอมมัดกัน มันก็มัดแข้งมัดขาฟันบ้างแทงบ้างไม่เข้า จนกระทั่งเอาภรรยาเอาผู้หญิงเอาเมียเจ๊กน่ะ เอานั่งคร่อมหัวแล้วทั้งแทงทั้งฟันก็ไม่เข้า


    ทีนี้เจ๊กคนหนึ่งบอกเอาไฟเผา ก็จุดไต้ขึ้นมา พอจุดไต้จะมาจิ้มหน้า ที่ไหนพอเห็นหน้าพี่ปานเข้าไต้ร่วงเลย (หัวเราะ) ไต้หล่น เจอนักเลงใหญ่เข้า เจ๊กก็แก้แล้ว พี่ปานเลยถามว่า "นี่เถ้าแก่ ทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะ ไอ้ฉันน่ะกินอ้อยลำเดียวมันอยากนํ้า นี่ฉันไม่โกรธแกหรอกนะ มันของของแก มันทรัพย์สินของแก ฉันไม่พบแก มันดึกแล้ว"

    เจ๊กบอก "ไม่ใช่ยังงั้น ขโมยมันลักตัดหลายคืนแล้วลักตัดทีหลายๆลำ เอาไปมากๆ ใช่ไหม ทีนี้ก็นั่งดักขโมยก็บังเอิญพี่ปานไปพอดี" (หัวเราะ)

    ก็เป็นอันว่า พุทโธ นี่ถ้านับถือจริงๆ หนังเหนียว

    แม้แต่นุ่งผ้าถุงของอะไรก็....

    โอ๊ย ! ไม่มี พุทธคุณไม่มีคำว่าเสื่อม ไม่ใช่ไสยศาสตร์ นี่พุทธศาสตร์นะ เหลือเวลาอีก 3 นาที

    สมัยเป็นฆราวาสตอนนี้ก็จะพูดถึงเรื่องพุทโธอีกหน่อยหนึ่งนะ วันนี้ไงๆแค่ พุทโธ พุทโธ สูงสุดใช่ไหม ในสมัยกบฏบวรเดชเวลานั้นนะเขากำลังยิงกันที่บางเขน ตูมตามๆ ๆฉันก็กลับจากที่ทำงาน 3 คนในตอนเย็นจะลงเรือที่ท่าพระจันทร์กลับบ้าน ก็มีพระองค์หนึ่งคือท่านอาจารย์เทศน์ท่านนั่งอยู่ ความจริงไม่รู้จักท่านเลยไม่เคยไปหาท่านเลยนะ ท่านเห็นเข้าบอก "3 คนนี่มานี่ซิ"
    เลยไปหาท่าน


    ท่านถามว่า "พรุ่งนี้จะออกแนวรบใช่ไหม"

    บอก "ใช่ครับ"

    ท่านฉีกจีวรขอดผ้าให้ 3 ขอด ให้คนละอันบอก "อย่าให้พ้นตัวนะ พ้นตัวตาย ต้องติดตัวไว้" ก็เป็นความจริงเวลานั้นเขายิงกัน นํ้าแค่เอวใช่ไหม หมอบก็หมอบไม่ได้ หมอบมาก็จมูกจม จะนอนหงาย ก็ไม่รู้จะยิงใคร ไอ้ต้นข้าวก็สูงสังเกตกันไม่ได้ ทีนี้เขายิงกันด้านนี้ ไอ้ด้านอื่นเงียบ เราก็ย่องไปอีด้านโน้น เห็นมันเงียบดี คิดว่าไม่มีอะไรปลอดภัย จะหลบกระสุนไปเจอะเอารังปืนกลหนักเข้าให้ มันยิงซะไม่มี โอ้โฮ ! เปรี้ยงๆ ๆ ยิงตัดเลียดนํ้าเลย

    เราทำไงวิ่งเอาปืนทำหางขึ้นทางรถไฟ ก็อาศัยพุทโธนี่ แหม..กระสุนมันวิ่งฉุยๆ ๆ ไอ้ปืนกลมันไม่ยากยิงกวาดใช่ไหม กวาดเฉพาะจุดไอ้จุดแค่คน 3 คน ถ้าเอาจริงๆ แล้วก็ขาดกลางตัวที่เขายิงมาน่ะ แต่บังเอิญไม่ถูก

    (หลังจากที่ลูกศิษย์ได้สวดอิติปิโสถวายหลวงพ่อจบแล้ว หลวงพ่อได้สนทนาต่อไปว่า)

    ขณะที่เขาสวดอิติปิโส ฉันก็นึกถึงพระท่าน พระท่านมาก็มาลอยอยู่ข้างหน้า ท่านบอกพุทโธของคุณยังไม่จบ แล้วคุณทำไมไม่บอกเขาว่า

    การภาวนาว่าพุทโธเป็นปรกติเกิดชาติหน้าจะเป็นคนสวยและมีอำนาจ หนึ่งนะ

    สอง ภาวนาพุทโธไปสวรรค์ก็ได้

    สาม ภาวนาพุทโธไปพรหมโลกก็ได้

    สี่ ภาวนาพุทโธไปนิพพานก็ได้

    (จากคอลัมภ์ "สนทนาที่สายลม" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 133 เดือนมีนาคม 2535 หน้า 14-16)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2020
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741


    หลวงพี่นันต์สวดให้พรที่บ้าน พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต เมื่อวันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2556 มาฟังหลวงพี่เจ้าอาวาสท่านสวดให้พรกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2019
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741


    หลวงพ่อเล่าเรื่องเกี่ยวกับเหรียญท้าวเวสสุวรรณไว้ครับ

    ฟังท้ายคลิปเสียงหลวงพ่อนาทีที่ 13.20 ไป บางท่านอาจอยากได้เหรียญกูผู้ชนะมากกว่าก็ได้นะครับ
     
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    525145_106649769530573_770502091_n.jpg
    การทรงอารมณ์พระโสดาบัน

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา ดิฉันอยากทราบว่าการทรงอารมณ์พระโสดาบันได้นานๆ จะทรงได้อย่างไรเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : ก็ไม่มีอะไร อารมณ์พระโสดาบันความจริงไม่หนัก คำว่า "ทรง" ระมัดระวังศีลให้ทรงตัว อย่าละเมิดศีล ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดมุสาวาท ห้ามดื่มสุราเมรัย สำคัญจริงๆคือศีล การเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เรามีอยู่แล้ว

    ตอนเช้าอาจจะนึกหน่อยว่าวันนี้เราอาจจะตายก็ได้ ตายเมื่อไหร่เราขอไปนิพพานเมื่อนั้น

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 79 เดือนกันยายน 2530 หน้า 91)
     
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    1a.jpg IMG_20180211_074732.jpg
     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    4 in 1.jpg 2.jpg 4 in 1.jpg2.jpg
    ห้อยพระคี่กับห้อยพระคู่

    ผู้ถาม : กระผมมีความสงสัยเรื่องห้อยพระคี่ กับ
    ห้อยพระคู่ อันไหนจะถูกต้องครับ ?

    หลวงพ่อ : หมายความจำนวนคี่หรือคู่ใช่ไหม ? เหมือนกัน


    ผู้ถาม : หมายถึงอานิสงส์ครับ ?

    หลวงพ่อ : อานิสงส์ก็ดี อานุภาพก็ดี เหมือนกัน
    ไม่แตกต่างกันนัก แต่ว่าถึงเวลาตายยังไงก็ตาย

    ความจริงฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง จะฟังสักเรื่องไหม ?


    มีเสือกระบากอยู่คน เอ๊ะ ! ไม่ใช่ เสือลำบาก ลิ้นฉันไม่ดี ลิ้นคนแก่ คือเรียกชื่อ "เสืออ้วน" สมัยโน้นสมัยเสือฝ้ายน่ะ ตอนเช้าขึ้นมาตำรวจไปล้อมแก แกก็คว้าปืนลูกซองมากระบอกนะ เดินออกมา ตำรวจยิงตรงนะ ไม่ออกแน่ แล้วแกก็หลีก แกเดินเรื่อยมา ตำรวจก็ตามยิงเรื่อยไป แต่ตำรวจก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ยิงตั้งแต่เช้ายันเย็น

    ประมาณ 5 โมงเย็นเดินตามเรื่อยไป แกยังไม่ได้กินข้าวนี่แกก็หิว ทีนี้เวลานั้น มันเป็นป่าถั้วอยู่ เขาเรียกถั้วอยู่
    น่ะ มันก็บังกอไผ่บังดงไผ่ พอบังดงไผ่มาแกแวะเข้าบ้าน ๆ หนึ่งขอข้าวกิน เจ้าของเขาให้กินเพราะว่าแกเป็นคนดี เขาเป็นเสือก็จริง ท้องที่เขาป้องกันได้ เขาคุ้มครองท้องที่นะ

    ขณะที่กินข้าวไม่ทันจะอิ่ม ปรากฏว่าตำรวจโผล่ตรงมุมไผ่พอดี แต่ไกลกัน ประมาณสักครึ่งกิโล เจ้าของบ้านบอกตำรวจโผล่ตรงโน้นแล้ว แกก็เลยทิ้งจานข้าวออกทางนี้ ตำรวจเห็นก็วิ่งกวดไล่ยิงอีก

    ยิงไปยิงมา ปรากฏแกสะดุดคันนาล้ม ตำรวจตอนนั้นยิงตายพอดี พอตายแล้วยิงใหม่ไม่ออก แกถึงวาระไง ถ้าถึงคราวแล้วมันคุ้มไม่ได้ พระเองพระก็ตายเหมือนกัน

    ผู้ถาม : ถึงวาระ เขาพอดี

    หลวงพ่อ : จิตเสียวไหว จิตหวั่นไหว ความมั่นคงน้อยไป

    (จากหนังสือธรรมปฏิบัติ เล่ม 4 หน้า 8-9)
     
  12. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    ได้ฟังความรู้มากเลยครับ
     
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    4C9992C5-C116-4D73-810D-4849715D98A4_zpswcuhjlgz.jpg

    อาบน้ำมนต์ 7 วัด


    ผู้ถาม : การปฏิบัติตามคำคนโบราณที่พูดว่า ถ้าจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จสมหวังนั้น เขาบอกว่าเบื้องบนจะช่วย ถ้าเบื้องบนไม่ช่วยแล้วไม่สำเร็จ หนูทำทุกสิ่งทุกอย่างตามคำแนะนำ แต่เบื้องบนเบื้องล่างไม่มีทางช่วยลูกได้เลย

    ลูกตั้งใจว่าจะไปอาบน้ำมนต์สัก 7 วัด เพื่อที่จะได้ช่วยกำจัดสิ่งเลวร้ายของลูก อันนี้จะมีทางเป็นไปได้ไหม และควรจะไปวัดไหนดีเจ้าคะ

    หลวงพ่อ : แต่ความจริงน้ำมนต์ 7 วัดไม่ต้องเดินไปหรอกนะ รดวัดเดียวได้ทั้ง 7 วัด

    ที่เขาสวดคาถาว่า "อายุวัฒฑโก ธนวัฒฑโก สิริวัฒฑโก ยศวัฒฑโก พลวัฒฑโก วรรณวัฒฑโก สุขวัฒฑโก"

    บทนี้สะเดาะห์เคราะห์ใหญ่ใน มงคลจักรวาลน้อย

    ในสมัยโบราณท่านพูดแบบมีปัญหา ถ้าเคราะห์ร้ายให้รดน้ำมนต์ 7 วัฒฑ์

    คนที่ไม่เข้าใจก็เดินจนครบ 7 วัด แต่ความจริงเขาเสกน้ำมนต์ด้วยบทนี้ รดขันเดียวก็ครบ 7 วัฒฑ์ ใช่ไหม


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 176 เดือนพฤศจิกายน 2538 หน้า 84)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2021
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    หลวงพ่อ.jpg 1507661_737493329594699_1294333097_n.jpg




     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    พิธีพุทธาภิเษกพระหางหมากและพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งที่ 16



    พิธีพุทธาภิเษกพระคำข้าวรุ่นปืนครกแตกและพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งที่ 17



    หลวงพ่อฤาษีฯเทศน์วันมาฆบูชา




    อิริยาบถหลวงพ่อ 1



    อิริยาบถหลวงพ่อ 2

     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    อิริยาบถหลวงพ่อ 3

     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    IMG_20180503_155321.jpg IMG_20180503_155404.jpg IMG_20180503_155149.jpg IMG_20180503_155058.jpg

    เรื่อง สมาธิ


    มีคำถามว่า สมาธิแบ่งออกได้หลายแบบ หลายวิธีการ แต่ละวิธีมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็ว่าให้ถือกำหนดลมหายใจ บ้างก็ว่าให้คิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง บ้างก็ว่าคือการมองเข้าไปในสิ่งที่เป็นอยู่จริง อยากทราบว่าแท้ที่จริงแล้ว สมาธิคืออะไร และมีข้อควรปฏิบัติอย่างไร และจะถือหลักใดในการปฏิบัติ

    เอ้อ สมาธิยกไปก่อน คุยถึงเรื่องกินก่อน คือคนกินข้าวนี่ กินข้าวก็อิ่มใช่ไหม กินก๋วยเตี๋ยวก็อิ่ม กินขนมปังก็อิ่ม กินกาแฟก็อิ่ม กินให้อิ่มเพื่อต้องการไม่ให้ร่างกายหิว ร่างกายมันหิวถึงกินใช่ไหม สมาธิก็เหมือนกัน ทำเพื่อต้องการให้จิตสงบ เพราะฉะนั้นจะจับภาพพระก็ดี จะภาวนา นะมะ พะธะ ก็ดี จะรู้ลมหายใจเข้าออกก็ดี เป็นอุบายอย่างหนึ่งให้จิตสงบ ฉะนั้น คนทุกคนนี่จริตไม่เหมือนกัน คือนิสัยของคนไม่เหมือนกัน บางคนก็ชอบสีเขียว บางคนก็ชอบสีแดง ใครพอใจสีไหนก็เอาสีนั้น ทีนี้การภาวนา ใครชอบอย่างใดก็เอาอย่างนั้น

    พระพุทธเจ้าจึงสอนกับคนทุกคนที่มีจริตทุกจริตได้หมด ฉะนั้นถึงแยกแยะการภาวนาให้ตรงกับนิสัยกับจริตของคน ภาวนาแบบไหนก็ไม่ผิด ขอให้จิตเป็นสมาธิก็แล้วกัน ถ้าภาวนาแบบไหนถ้าไม่มีสมาธิก็แสดงว่าผิดแล้ว ผิดทางเพราะสมาธินี่มีแค่ขณิกสมาธิ นี่จิตก็เริ่มสุขแล้ว ถ้าภาวนาไปจิตฟุ้งซ่านต้องหยุดหรือเครียดต้องหยุด แสดงว่าผิดทาง แค่เข้าไปถึงประตูนี่มันยังไม่เข้าทาง เข้าไปชิมหน่อยเดียวมันยังไม่สุข นี่แสดงว่าผิดแล้ว ผิดทาง ต้องหยุด กลับมาตั้งหลักใหม

    อย่างอานาปานุสสติ อย่างนี้เป็นต้น อานาปาฯ คือรู้ลมหายใจเข้าออก รู้ลมหายใจนะ แต่เรากลัวมันจะไม่รู้ เอ๊ะ มันไม่รู้สักทีวะ สูดซะแรงๆ บางทีก็เกร็งลม คือรินลมน่ะ กลัวลมจะออกไม่เป็นธรรมชาติ รินออกรินเข้า เหนักเข้าเหนื่อย เหนื่อยก็เครียด แสดงว่าผิดแล้ว พระพุทธเจ้าให้รู้ลมหายใจเข้าออกเฉยๆ หรือภาวนาควบไปด้วย

    แต่คนเราถ้าฝึกใหม่ๆ คล้ายกับมันจะแน่นหน้าอกไปหมด ตึงประสาทไปหมด แสดงว่าผิด ค่อยๆ รู้เข้ารู้ออกก่อน หยาบสุดต้องรู้เข้ารู้ออกเฉยๆ ก่อน ถ้าต่อไปถึงจะรู้อ้อ มันเข้าไปถึงไหนแล้ว มันออกไปถึงไหนแล้ว ต่อไปมันจะรู้ มันเข้าไปถึงนั่นมันละเอียด อ้อ เห็นสายลมแล้ว จิตก็จะเริ่มเบา จิตก็จะสุขขึ้น สุขแสดงว่าถูกทางแล้ว ถ้าเครียดต้องหยุด

    การปฏิบัติธรรมนี่จะยากอยู่ช่วงสมาธิต้นๆ เท่านั้นเอง ฉะนั้นที่ถามว่า ภาวนาอย่างไร อะไรอย่างไร คือว่าให้พอกับจริตของคน ใครชอบอย่างไรให้เอาอย่างนั้นนะ หลวงพ่อสอนนะ แต่สำนักบางสำนักอื่นเขาสอนให้ภาวนาพุทโธก็ดี หรือภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ก็ภาวนาก็ไม่ผิด แต่ว่ามันเหมือนกับอะไรล่ะ อย่างวัดท่าซุง หรือหลวงพ่อของเรานี่มีแกง ๔๐ หม้อ เลือกกินเอา แต่วัดอื่นมีแกงหม้อเดียว เราจะเลือกกินเอาร้านไหนก็แล้วแต่ กินอิ่มเหมือนกันนี่ แต่เราไปเลือกเอา กรรมฐานคือกรรมฐาน ๔๐ ข้อ ชอบใจตัวไหนก็เอา

    “เอาเป็นว่าตอบข้อหนึ่ง ก็คือ สมาธิคืออุบาย เครื่องสงบใจ ทำให้ให้สงบ ควรจะปฏิบัติอย่างไร ก็บอกว่ากรรมฐาน ๔๐ น่ะ ไปเลือกเอาเถอะ ทีนี้เขาถามว่า แล้วจะยึดหลักใดในการปฏิบัติ หรือว่าต้องให้ไปอ่านกรรมฐาน ๔๐ เสียก่อน แล้วค่อยมาคุยกันใหม่”

    คือพื้นฐานจริงๆ แล้วนี่ท่านให้เอาอานาปาฯ เป็นหลักไว้ อานาปาฯ นี่เป็นต้น ตัวนี้ทำให้สงบง่ายขึ้น ถ้าได้ตัวนี้แล้วตัวอื่นจะง่ายขึ้น อานาปาฯ นี่เป็นกรรมฐานที่ละเอียด แล้วก็เป็นหลักใหญ่ ถ้าจับกสิณแล้วอานาปาฯ ไม่ทรง ก็จะทรงตัวยาก ถ้าได้อานาปาฯ เสียแล้ว ตัวอื่นจะง่ายหมด

    ไอ้ตัวอานาปาฯ มันตัวลบคลื่น จะจับกสิณสีแดงก็ต้องมาลงที่ศูนย์อานาปาฯ นี่ จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว สีอะไรได้ อานาปาฯ คล่องเสียมันก็เปลี่ยนง่าย อานาปาฯ คือลบอารมณ์ฟุ้งซ่าน

    “ทีนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเคยปรารภว่า ในกรรมฐาน ๔๐ หรือว่า ถ้ารวมมหาสติปัฏฐานสูตรเป็น ๔๑ นี่ เป็นกรรมฐานพิจารณาเสียตั้ง ๒๙ เป็นกรรมฐานภาวนาแค่ ๑๑ คือ อานาปาฯ กับกสิณ ๑๐ เป็นกรรมฐานภาวนา ในขณะที่อื่นๆ นี่ ไม่ว่าจะเป็นอนุสสติก็ดี จะเป็นพรหมวิหาร ๔ จะเป็นอะไรก็ตามแต่เถิด เป็นกรรมฐานพิจารณา ทีนี้แม้แต่กรรมฐานพิจารณาก็ต้องตั้งต้นที่อานาปาฯ ใช่ไหมครับ หรือว่าอย่างไรครับ”

    ใช่ๆ ท่านบอกว่าถ้าไม่มีอานาปาฯ อย่างอื่นไม่ทรงตัว

    “อย่างเช่นว่าจะเอาตัวเมตตาเป็นบทกรรมฐานอย่างนี้ จะพิจารณาเมตตาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องตั้งต้นที่อานาปาฯ เสียก่อน พอกำลังใจนิ่งดีแล้ว ทีนี้ก็จะพิจารณาได้ทะลุปรุโปร่งใช่ไหมครับ”

    แต่บางอย่างท่านก็ให้คิดพิจารณาเสียก่อน พิจารณาจนจิตเย็นแล้ว อ่อนดีแล้ว อย่างเช่นหลวงปู่ปานสอนให้หลวงพ่อใช่ไหม หลวงพ่อชอบอิทธิฤทธิ์นี่ ชอบฤทธิ์ชอบเดช โอ๊ย...แกจะให้มีอภิญญาทรงตัวแกต้องพิจารณาเสียก่อนว่า เออ...ร่างกายนี่มันไม่เที่ยงนะ มันต้องตายนะ พิจารณาให้จิตยอมรับ หลวงพ่อก็เออ... จะให้มีฤทธิ์มีเดชใช่ไหม ก็ต้องพิจารณาตรงนี้ ที่แท้หลวงปู่ปานสอนวิปัสสนาญาณให้เสียจนชุ่มหมดแล้ว พอสมาธิทรงตัวมันก็ง่าย หลวงปู่ปานฉลาดกว่าหลวงพ่อ

    “เอ๊ะ แต่ได้ข่าวว่าท่านพระครูปลัดฯ ท่านเจ้าอาวาสนี่ท่านก็ชอบฤทธิ์ชอบเดชอยู่ไม่ใช่หรือครับ”

    ชอบ...โอ้โห ชอบจังเลย ชอบจนเขี้ยวเหี้ยนหมดเลย ไม่ได้สักอย่าง มันเป็นบุพกรรมต้องชอบสุกขวิปัสสโก คือตัวเองมันเกี่ยวกับกลัวจะตายเสียก่อน กลัวจะไม่ได้อะไรสักอย่างเลย คือมันเป็นคนคิดมากอยู่อย่างว่า ไอ้ที่เรารู้มันจริงหรือเปล่า บางทีมันก็จริงมั่ง บางทีก็ไม่จริงมั่ง เราก็ เอ๊ มันจะเสียเวลาเสียแล้ว

    “ชักจะมีมรณานุสสติ ว่าอย่างนั้นเถอะ”

    ใช่ กลัวจะเสียเวลาเกินไป สอง กลัวเราจะเสียพระเสียก่อน เลยต้องตัดออกไปให้หมด

    (จากหนังสือที่ระลึกงานกตัญญูกตเวทิตามงคล พระมหาเถระประชานาถ องค์ที่สองของวัดท่าซุง หน้า 128 - 131)


    12088117_10153716957444329_1286681502667442176_n.jpg
     
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    งานประจำสมัยเป็นพระลูกวัด

    หลังจากท่านได้รับแต่งตั้งเป็นรองเจ้าอาวาส ท่านจะทำหน้าที่เสมือนผู้จัดการวัด รับคำสั่งจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาแจกจ่าย ปรึกษาหารือ สั่งการมอบหมายหรือจัดการตามความเหมาะสม เมื่อพระเดชพระคุณท่านปรารถเรื่องอะไร ท่านก็จะนำเรื่องนั้นมาปรึกษาคณะสงฆ์

    ตัวอย่างเช่น เรื่องการห่มผ้าสีเหลือง พระในวัดทุกองค์ก็ปฏิบัติตามด้วยความเรียบร้อยเป็นเอกภาพ หรืออย่างเรื่องคนปากเสียอาศัยอยู่ในวัด แล้วยังนินทาว่าร้ายพระและคนในวัด ท่านเล่าว่า เราก็บอกกับหลวงพ่อ หลวงพ่อครับ ผมไม่รู้เรื่องเลย ไอ้พวกนี้มันพูดไปไปอย่างนี้ หลวงพ่อบอก “นันต์ แกกวาดล้างให้หมดไปเลยนะ ไอ้พวกปากนรกทั้งนั้นพวกนี้”

    ที่วัดนี่จึงไม่จำเป็นไม่ให้อยู่ ขับมาหลายชุดนะ พวกปากไม่ดีนี่ต้องกวาดล้างไปเรื่อยๆ น่ะให้อยู่ 7 วัน ถ้าอยู่นานเขี้ยวงอก ไอ้พวกเขี้ยวงอกนี่ไม่เจริญศรัทธาหรอก ขับลูกเดียวแล้วไม่ต้องเข้าวัด ติดประกาศเลย ถ่ายรูปติดไว้เลยที่วัดน่ะ พูดภาษาหยาบ ๆ ไม่ต้องมาทั้งโคตร ไม่ต้องมาวัด คือพูดไม่อยู่ในศีลในธรรม คล้าย ๆ เราโหดร้ายน่ะ คนไม่ดีเราโหดร้ายเลย ขับเลยอย่างไรล่ะ แบบไม่ทำให้ตัวเองเจริญ ไม่ทำให้วัดเจริญ

    สำหรับพระพวกฉันเองไม่ใช่ว่าปกป้องกันเอง คือเราไม่ต้องให้ใครขับหรอก เราขับกันเองอยู่แล้ว ที่วัดน่ะขับกันเองอยู่แล้ว ถ้ามีอะไรมานี่ ถ้ามันมีอะไรสุดวิสัยมา พระนี่ขับกันเอง ไม่ต้องรอให้ใครมาทำความสะอาด เราทำความสะอาดเอง วัดน่ะ

    ฆราวาสฉันก็ขับไปเยอะ พระก็ให้ออกไปหลายองค์ เพราะปกติถ้าไม่ดีเสียหายจริง ๆ ก็ต้องออก ไม่ใช่เจ้าอาวาสขับเขาอย่างเดียวนะ เขาก็ขับเจ้าอาวาสได้เหมือนกัน คือให้เขาดูเราได้ ไม่ใช่ว่าเจ้าอาวาสจะทำอะไรดีทุกอย่าง คือให้คนอื่นเขาดูด้วย คนอื่นเขาก็ดูเราได้

    มีอยู่ทีหนึ่ง พระบวชใหม่ เขาบวชได้พรรษาก็ตั้งวง ไอ้เราก็เตือน เตือนก็หาว่าเราอิจฉา เจ้าอาวาสก็อิจฉา พระท้ายแถวจะดังนี่อิจฉา มันเป็นอย่างนี้นะ เพราะอย่างนั้นต้องนิมนต์

    ทีนี้ไอ้การที่มีลูกมีเต้าบวชในศาสนานี่ หนึ่ง บวชพาญาติโยมไปสวรรค์มี สองบวชพาญาติโยมไปนรกมี พาไปสวรรค์นี่เข้าใจง่าย แต่พาไปนรกนี่จะพาอย่างไร เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง คือ พระทำผิด เจ้าอาวาส คณะกรรมการสงฆ์ตักเตือน จนถึงต้องขับออกจากวัด ก็มาบอกพ่อบอกแม่ บอกญาติโยมว่าฉันทำดี พระนี่กลั่นแกล้ง พระทั้งวัดเขากลั่นแกล้งขับออกจากวัด บอกพ่อแม่ พ่อแม่ก็เอาละ ต้องรักลูกอยู่แล้ว ธรรมชาตินี่ ไอ้พระอย่างนี้... ทั้งวัดเป็นอย่างนั้น ด่าไปเลย นี่เขาเรียกว่าบวชพระแล้วพาพ่อแม่ให้ลงนรกด้วย พ่อแม่ไม่เป็นธรรมก็อย่างนั้น

    สมัยก่อนมีบวชเณรอยู่ เณรก็เล่นกันเป็นเด็กสิ หลวงพ่อก็ว่า ทีนี้ก็กลังไปฟ้องพ่อแม่ แหม...ลูกเราดีจังเลยไปบวชเณรมีศรัทธา พระผู้ใหญ่แกล้งเสียอีก หาว่าซน พ่อแม่มาอยู่ด้วยกันที่ไหนล่ะ มาอยู่กับเรา เราก็ต้องทำโทษ หลวงพ่อจึงเลิกรับเณรเลย เณรที่วัดจึงไม่รับ ไม่มี พระต้องช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่จำเป็นจะต้องหาใครมาช่วย ไอ้พวกนี้อย่างกับลิง เด็กนี่ ก็เล่นแบบเด็กน่ะ ฉะนั้นบางอย่างจึงไม่รับ

    แล้วมีคนมาพักนี่ ให้อยู่ได้ 7 วัน ถ้าเกิน 7 วันก็ต้องกรณีพิเศษ แต่กรณีพิเศษก็ต้องมีระเบียบว่า ถ้ามีเรื่องมาก็ต้องไปนะ เจ้าของห้องก็เหมือนกัน ที่สร้างห้องกรรมฐานน่ะไม่ใช่จะอยู่เป็นเจ้าโลกได้ ต้องอยู่ในระเบียบวินัยของวัด บางทีพออยู่แล้วทะเลาะกัน เป็นเจ้าโลกขึ้นมาละ เจ้าของห้องก็ต้องขับ ไม่เอาไว้หรอก ทำให้เดือดร้อนกันไปหมด

    ฉะนั้น ที่วัดจึงถือระเบียบวินัยเป็นใหญ่ ถ้าบางทีอาจจะผิดพลาดไปแต่ว่ายังไม่มีเรื่อง ถ้ามีเรื่องเมื่อไรขับ เจ้าของห้องก็ไม่ให้อยู่ทั้งนั้น เสียการปกครอง เสียความร่มเย็นหมด เพราะมีมาตรการอย่างนี้ถึงไม่ค่อยมีเขี้ยวงอกเท่าไร มีเขี้ยวก็หุบไว้ก่อน พอถึงวัดก็ถอดเขี้ยวถอดงาเสียก่อน ถ้าไปแสดงที่นั่นก็ต้องเอา ไม่มีญาติโกโหติกาทั้งนั้น ต้องถือระเบียบวินัยเป็นที่ตั้ง ไม่มีเส้นเล็กเส้นใหญ่ บางคนว่ามีคนนอกคนใน ไม่มี ถ้าผิดมาแม้แต่พระยังขับกันเอง โยมจะมีเส้นนอกเส้นในไม่มีหรอก ความดีก็มีส่วนความดี

    ฉะนั้นบางครั้งจึงไม่หวานจ๋อยไปเลย ไม่ประจบประแจงจนเกินไป แต่เข้าเขตวัดเรา ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นโดยคนอื่นรังแก เราให้ความปลอดภัยเต็มที่นี่เข้ามาในวัดเรา เราอยากให้คนในวัดมีความสงบ คือเข้าไปอยู่วัดแล้วอยากให้คนเข้าไปวัดแล้วนอนหลับสบาย ไม่ต้องกังวลโจร ไม่กังวลคนจี้คนปล้นจากคนภายใน เพราะว่าเรามืดค่ำเราก็ปิดประตู เราต้องรับผิดชอบความปลอดภัยคนภายใน ถ้าใครจะมาเกเรเราก็ต้องจัดการ ข้างในข้างนอกทุกอย่าง ถ้าคนภายในแกก็ต้องเอามันจะได้อยู่ ทุกคนต้องเกรงใจระเบียบวินัยกันจะได้มีความสุข

    ธุดงค์คราวที่แล้วจัดก็ต้องขับพระออกองค์หนึ่ง ต้องขับพระออกจากวัด ก็พวกไม่อยู่ในระเบียบวินัยก็ต้องเอา ต่อไปจะได้อยู่กันง่ายขึ้น ขับพระนอกวัดมาอาศัยธุดงค์ ประพฤติไม่ถูกต้อง เราให้มัดรัดไว้ดีกว่า ดีกว่าปล่อยให้เละไป อยากให้คนอยู่มีความสุขเท่านั้นเอง

    หากว่ามีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นอย่างที่เขามีกันน่ะ ข้างในขับไปแล้ว ขอให้รู้ว่าพระภายในเขาขับกันไปแล้ว อย่างที่เขามีข่าวอะไรอย่างนี้นะ คือวัดเราก็ไม่มีอะไรหนักใจนะ หมายความว่าอยู่ด้วยกันก็มีความสุขพอ ตามอัตภาพของพระไม่มีอะไร

    งานประจำส่วนองค์ที่ท่านพระครูฯ ได้รับมอบหมายจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ คืองานอัดเทปธรรมะที่หลวงพ่อท่านทำต้นฉบับไว้เพื่อจำหน่าย ที่ต้องทำทุกวัน และงานคุมเครื่องสีข้าวที่ฝุ่นตลบ ท่านก็ทำอยู่องค์เดียว ส่วนงานที่ทำด้วยใจเกินร้อยคืองานดูแลรับใช้หลวงพ่อทุกวัน หลังจากท่านเลิกรับแขก

    ในระหว่างเป็นพระลูกวัดนี้ ท่านพระครูฯ ได้ศึกษานักธรรมโทด้วยตนเองแล้วไปสอบที่สนามสอบวัดพิชัยปุรณาราม อ.เมือง จ.อุทัยธานี ก็สอบผ่านได้นักธรรมโท แล้วท่านก็หยุด เพราะมีกฎหมายมหาเถรสมาคมอยู่ข้อหนึ่งที่ว่า ผู้จะเป็นเจ้าอาวาสจะต้องได้นักธรรมเอกเป็นอย่างน้อย ความกลัวว่าจะต้องเป็นเจ้าอาวาสจึงหยุดเรียนเสีย

    (จากหนังสือ "ที่ระลึกงานกตัญญูกตเวทิตามงคล" หน้า 60-63)


    ทำสมาธิได้ยินเสียงหัวใจเต้นดัง

    มีคนฝากคำถามให้ดร.ปริญญาถามว่า

    ขณะที่ทำสมาธิได้ประมาณสัก 5 นาที ทำไมจึงได้ยินเสียงหัวใจเต้นเสียงดังมาก ก้องอยู่ในหู ขณะนั้นกระผมก็ตกใจแล้วก็ลืมตาขึ้นเลย จะเป็นทุกครั้งที่ทำสมาธิ พอจิตเริ่มสงบก็ได้ยินเสียงทันที ขอความกรุณาให้ความกระจ่างด้วยขอรับ

    ท่านเจ้าคุณฯ ตอบว่า เป็นเพราะหัวใจมันเต้นแรง (หัวเราะ)

    พอจิตสงบมันก็จะรู้ คือธรรมดาปกติเรานี่เราก็หายใจทิ้งไปวันๆ มันจะกี่ร้อยกี่พันเที่ยว ใช่ไหม ไม่เคยรู้ พอจิตเราละเอียดขนาดว่าหัวใจเต้นตุ๊บๆนี่ รู้นี่ก็ยังหยาบอยู่ รู้อาการของกายนี่ยังหยาบใช่ไหม

    แต่รู้ลมหายใจเข้าออกนี่หลวงพ่อบอกว่ารู้ถึง 3 ฐานเป็นปฐมฌานใช่ไหม รู้ไหมเวลาหายใจเข้าออก คุยกันก็ไม่รู้เลยใช่ไหม ไม่คุยบางทียังไม่รู้เลย คือรู้หัวใจเต้นตุ๊บๆ ก็ถือว่าไม่อยากให้รู้เสียงหัวใจหรืออย่างไร

    ดร.ปริญญา : คือว่าพอเต้นแล้วทีนี้สมาธิไม่อยู่ เพราะมัวแต่ได้ยินเสียงหัวใจเต้น

    ท่านเจ้าคุณฯ : คือต้องทำไม่สนใจกิริยาทางกาย ใจตัวนี้นะ มันก็เป็นเสี้ยนหนามของสมาธิที่เราตั้งใจไว้ เป็นเสี้ยนหนาม เพราะฉะนั้นอาการที่เป็นอะไรกับกาย ที่เราจะตั้งใจจะพุทโธก็ดี จะรู้ลมหายใจเข้าออกก็ดี ก็ตั้งใจอย่างไรให้รู้อย่างนั้น

    อย่างนี้มันก็ยังน้อยใช่ไหมล่ะ ถ้าเกิดพอถึงปีติถึงจะต้องสั่นปุ๊บ ไม่ต้องทำอะไรกันเลยหรือ ใช่ไหม ปีติบางทีมันสั่นปั๊บๆเข้ามา เราต้องทิ้งคำ (ภาวนา) ไม่ทำอะไรเลย อย่าให้สนใจกิริยากายของตัวเอง มันจะเต้นตุ๊บตั๊บเต้นแรงเต้นค่อยก็เรื่องของมัน แต่เรารู้ลมหายใจ รู้ภาวนา พุทโธ ก็รู้ ที่เราตั้งใจไว้ เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ

    เพราะว่าแค่ปีตินี่อาการของร่างกายมันก็หลายอย่างแล้ว บางที (ตัว)บวมใหญ่ ใหญ่โตเท่าไหนก็ไม่รู้ เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด พอเรารู้อย่างนี้เราไม่ต้องทำตัวนี้ คือปีติหรือตัวเสี้ยนหนามของสมาธิที่จะเกิดเป็นปฐมฌานนี่

    คือบางคนก็กลัวตาย พอเต้นตุ๊บๆจะตายหรือเปล่าวะ ลืมเลยไอ้ที่ตั้งใจ พุทโธ ธัมโม ไว้ คนเราพอจะถึงมันจะกลัวตายตรงนี้ บางทีหายใจจะหมดนะ หายใจมันน้อย

    ดร.ปริญญาเสริมว่า ทำไมๆ หายใจไม่เข้าปอดสักที เลยหายใจเฮือกขึ้นอีก

    ท่านเจ้าคุณๆ : ใช่ เลิกเลย จะตายแล้วไม่ต้องทำกันเลย ฉะนั้นตอนแรกที่เขาทำ เขาตั้งใจแล้วอย่างไร

    ดร.ปริญญา : เขาไม่ได้บอกว่าตั้งใจอย่างไร แต่บอกว่าพอเริ่มทำสมาธิก็จะได้ยินเสียงหัวใจเต้นตึ๊กตั๊กๆ แล้วก็เลยตกใจทุกที

    ท่านเจ้าคุณฯ : ถ้ามันรู้จริงๆ ก็ว่าตั้งใจจะดูใจว่าตึ๊กตั๊กขนาดไหน ดูสิว่ามันตึ๊กๆ

    ตึ๊กก็พุทโธ 1 ตึ๊กก็พุทโธ 2 ดูมันซะเลย เอากิริยาของลมหายใจมารู้จริงนะ ตั้งเป็นนิมิตจับซะเลย เป็นกายคตาฯไปเลย มองออกมันตึ๊ก 1 มันตึ๊ก 2 ตึ๊ก 3 ก็นับให้ได้ อย่างนี้ก็เป็นสมาธิ ไม่ใช่ว่าจะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง

    มันตึ๊ก 1 ละ ตึ๊กนี่ 2 ละ ตึ๊กนี่ 3 ละ แล้วก็ภาวนาไปเรื่อย ดูซิมันก็เป็นสมาธิ ดีไม่ดีฝึกได้ทุกอย่างอยู่ในอิริยาบถได้

    สมาธิบางทีบางอย่างนี่ อิริยาบถนี่ไม่ต้องภาวนานะ รู้มือ รู้กำมือหรือเปล่า รู้กำเข้ากำออกหรือเปล่า นี่ก็เป็นกิริยาอย่างหนึ่งที่รู้อิริยาบถ เป็นวิธีฝึกสมาธิเหมือนกัน

    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 477 เดือนธันวาคม 2563 หน้า 19-20)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2024
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    13.jpg
    เรื่อง ปฏิบัติธรรม

    เรื่องปฏิบัติธรรม อะไรๆ ก็คิดเป็นธรรมะได้ มีอยู่คราวหนึ่ง ออกจากกุฏิ กำลังจะไปฉันเพล มีกะละมัง เขาเรียกกะละมังอาหารหมา จะเอาน้ำให้หมากิน พอจะออกไปข้างนอก เราก็รินน้ำให้หมา ก็ปล่อยน้ำแรง มันก็ซ่าออกไปนอกกะละมังมั่ง อะไรมั่ง เราก็มอง เอ๊ะ... เมื่อไรมันจะเต็มวะนี่ เพราะเราจะรีบไป ก็เอ๊ะ...ปล่อยซ่า มันก็กระเซ็นออกไปนอกกะละมังมั่ง ลงกะละมังมั่ง อะไรมั่ง ก็คิด

    เออ..การปฏิบัติธรรมของคนนี่กว่าจะบรรลุมรรคผล กว่าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้นี่ มันก็ต้องมีออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่น้ำนี่ส่วนมากมันจะอยู่ในกะละมัง บางส่วนจะกระเซ็นออกไปนอกกะละมังบ้าง

    “ไอ้ที่เหลืออยู่มันจะมากกว่า”

    ใช่ ถ้าเราทำใจอดทนได้เดี๋ยวมันก็เต็มเอง ถ้าเราอดทนได้ น้ำมันก็เต็มฉันใด นึกถึงการปฏิบัติธรรมของคนเรานี่อาจจะเขวไปบ้าง แชไปบ้าง อะไรไปบ้าง แต่ส่วนมากจะเกาะหลักไว้ มันก็สามารถจะทำกำลังใจเต็มได้ฉันนั้นเหมือนกัน

    “ไอ้คิดอย่างนี้มันก็ดีอย่าง เป็นกำลังใจของคนที่ปฏิบัติทุกวันนี้ มันมีขาดๆ เกินๆ เสียๆ หายๆ หกตกหล่น”

    แต่ทีนี้ถ้าเราไม่เชเลย มุ่งอยู่จุดเดียวเหมือนปล่อยน้ำให้มันเต็ม ไม่มีกระเซ็นเลย ประเดี๋ยวมันก็จะเต็มไว

    “แหมนี่เวลานี้นี่เรียกว่าทรงธัมมานุสสติกรรมฐานแล้วนะ”

    อันที่จริงธรรมะทุกอย่างนี่หลวงพ่อท่านเฉลยไว้หมดแล้วนะ คำตอบทุกอย่างนี่มันอยู่ที่เรากระทำเท่านั้นเอง ทั้งโจทย์ ทั้งวิธีทำ บอกหมดทั้งคำตอบนี่ เรียนคณิตศาสตร์นี่เขาไม่ได้บอกคำตอบเราก่อนหรอกนะ เขาตั้งโจทย์มาเราก็ทำไปเลย คำตอบอะไรก็ไม่รู้ ทีนี้หลวงพ่อตั้งโจทย์วิธีทำคำตอบไว้ให้เสร็จเลย มีเสร็จทุกอย่างนี่ อยู่ที่เราทำตามที่ท่านบอกเท่านั้นเอง ใช่ไหม

    สังเกตดูสิ ท่านตั้งโจทย์แนะวิธีทำคำตอบให้เสร็จแล้ว อยู่ที่เรานี่กระทำตามที่ท่านว่าเท่านั้นเอง

    “วันนี้มาเล่าหลายคน บอกว่ามันมีปัญหาทางใจ ไปถามก็ไม่ถูกใจ ก็พอดีไปเปิดตอบปัญหา เดี๋ยวนี้ออกถึงเล่ม 9 นะ เปิดโดยไม่ได้ตั้งใจนะว่าจะหน้าไหน เปิดแพล็บ...ตรงกับไอ้ที่ตัวเองกำลังข้องใจอยู่พอดีเลย คำตอบก็มีอยู่ในนั้นเสร็จเลย”

    หนังสือของท่าน ของหลวงพ่อนี่เขียนด้วยสติและปัญญาสมบูรณ์ คือไม่มีคำที่โมเม ไม่พูดโมเม เพราะสติและปัญญานี่มันอยู่ในสมองสมบูรณ์อยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่างเรานี่มีสมาธิดีก็พูดธรรมะเข้าใจดี ถ้าฟุ้งซ่านก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ของท่านนี่ทรงอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง และพระพุทธเจ้าท่านก็คุม อย่างจะมาสายลมนี่ พระพุทธเจ้าคุมสามองค์สี่องค์ แต่องค์ไหนจะเป็นหัวหน้าเท่านั้นเอง

    สติก็สมบูรณ์อยู่แล้ว พระพุทธเจ้าก็คุมอีกชั้นหนึ่ง ทีนี้การเป็นหนังสือท่านก็ดี เป็นคำถามคำตอบท่านก็ดี อาจจะมีตลกบ้างอะไรบ้าง เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เป็นธรรมะบันเทิง แต่ว่าเป็นธรรมะที่ถูกต้องที่สุด ที่ว่าหายากนะ

    “หาไม่ได้แล้ว หาไม่ได้”

    เราไปฟังที่อื่นทำไมถึงจืด บางทีอ้อมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ไม่รู้ว่าเอาตรงไหนวะ ไอ้สรุปบางทีเราต้องมาสรุปเอง จะเอาตรงไหนอะไรอย่างนี้ หลวงพ่อนี่ท่านตั้งต้นเนื้อน้ำสรุปให้เอง ไปฟังคนอื่น เออ กูจะสรุปตรงไหนวะ จะเอาตรงไหนวะ เราต้องมาสรุปเองแทนพระ

    “อันนี้หลวงพ่อเคยบอกว่า เคยเตรียมตัวมาจะพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอเวลานั่งพูดจริงของเราไม่มีเลย นั่นก็แสดงว่าหลวงพ่อก็ไม่ได้พูดน่ะสิ”

    ท่านจะบอกว่าวันนี้พระองค์นั้นมา พระองค์นี้มา สมัยก่อนท่านจะเทศน์สอนกรรมฐานนะ เทศน์ด้วยตัวของท่านนะ เทศน์ปุ๊บก็อัดเลย เทศน์เสร็จก็มาเปิดฟังพูดอะไรบ้าง ก็มาทวนวันนี้เทศน์อะไรบ้าง

    มีอยู่เล่มที่ด็อกเตอร์พิมพ์ เล่มไหนก็ไม่รู้ คือสอนกลางวัน สอนมหาสติปัฏฐาน กับกรรมฐาน 40 กลางวันไปถึงก็สอนกันเลย ไม่ได้เตรียม ไปถึงก็นั่งกันอย่างนี้ เราก็ไม่มีเทปไปอัดนอกสถานที่ ท่านบอก...นันต์ ข้าไม่ได้เตรียมตัวเลย เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าท่าน สักประเดี๋ยวก็ให้ช่างมาติดลำโพงลงทุกห้อง บอก เราจะเปิดเสียงตามสายออกไป นี่แกผ่านหูบ้าง ฟังหูซ้ายละลุหูขวาบ้าง

    ต่อไปนี่จะเป็นตำรา พวกแกอยู่ต่อไปจะได้ไม่ทะเลาะกับคนอื่นเขา เขาสอนอย่างนั้นมาแกจะได้รู้ว่าเขาสอนกรรมฐานกองไหน ไม่ใช่ว่าของเราพุทโธ ใครสัมมาอรหังผิดหมด ใคร นะมะพะธะผิดหมด ไม่ใช่อย่างนั้น การภาวนาเป็นการโยงจิตเท่านั้น การโยงจิตให้สงบเป็นอุบาย ในการโยงจิตให้สงบ ไม่ใช่ว่าเก่งอวดดีกันแค่องค์ภาวนา”

    ท่านก็สอนกรรมฐาน 40 มาครบ มหาสติปัฏฐานอีก สอนกลางวันนี่หลวงพ่อสอน คิดดูบ่ายโมงนี่ถ้าสอนไม่ดีจริงนี่ตาปรือตาลอย กลัวท่านบ้างก็ตาแป๋วแต่หลับในไปแล้ว ฉันเพลใหม่ๆ นี่กำลังดีแล แต่ท่านก็สอนดีนะ สอนอสุภกรรมฐาน ก็ถาม

    “อาจารย์ วันนี้กินข้าวกับอะไร”

    “กินข้าวกับแกงส้มครับ”

    “แกงกับอะไร”

    “ปลาครับ”

    “อ้าว...แกกินศพไปนี่หว่า”

    “ไม่ใช่ครับ ปลาครับ”

    “ก็ศพปลาไงเล่า”

    ท่านก็หยอกไปเรื่อย เวลาใครนั่งง่วงท่านก็หยอกเสียที ตาก็สว่างขึ้นมา แต่ห้ามจดนะ ท่านไม่ให้จด จะมาจดนี่ไม่ได้ ต้องฟังก่อน เทปอัดไว้แล้ว ให้มันได้เดี๋ยวนั้นสักรอบหนึ่งก่อน ท่านก็อุตส่าห์สอนกลางวันมาสักร่วมพรรษาหนึ่งมั้ง ตอนนั้นน่ะ

    “สอนเสาร์ – อาทิตย์ เพราะว่าญาติโยมจากกรุงเทพฯ ขึ้นไปฟังด้วย”

    “ในระยะต้นๆ นี่ค่อนข้างเข้มหรือว่า”


    โอ้โฮ ตนไปฟังนี่ เอ๊... หลวงพ่อทำไมอยู่วัดถึงดุจังเลย ถ้ามาสายลมกรรมฐานสายลมง่ายจัง อู้หู...ที่วัดทำไมถึงยากจังเลยที่วัดนี่ ที่วัดนี่อะไรก็ผิดไปหมด ไปนั่งกรรมฐานที่สายลมดีกว่า สบายใจจังเลย เขามาพูดให้ฟังใช่ไหม ทำนิดก็เป็นบุญ ทำหน่อยก็เป็นบุญ พอมาวัดนี่ทำผิดนิดก็บาป ทำผิดหน่อยก็บาป ก้าวขาไม่ออกอะไรอย่างนี้ ตรงกันข้ามเลย

    (จากหนังสือ "ที่ระลึกงานกตัญญูกตเวทิตามงคล" หน้า 118-120)


    10998001_696306223830477_6281444998730194977_o.jpg
     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    0.00.jpg
    หลวงพ่อได้อภิญญา


    หลวงพ่อท่านเก็บเยอะนี่ ท่านเก็บไม่ออกมาเยอะ ใช้นิดๆหน่อยๆเท่านั้น ท่านบอกถ้าเขาไล่เราเมื่อไหร่ละก็ไปกินข้าวกลางแม่น้ำสะแกกรังนะ เอาเราไปด้วยรึเปล่าไม่รู้ (หัวเราะ) ท่านก็บอกไปกินข้าวกลางแม่น้ำสะแกกรังสัก 2 วันละไอ้นันต์เอ๊ย วัดนี่แตกวัดท่าซุงนี่แตก มันจะลือกันไปใช่ไหม ทีนี้ละท่านห่มผ้าสีตองอ่อน สียังไงไม่รู้ตองอ่อนจะเปลี่ยนสี

    อภิญญานี่ทำได้ไม่ใช่ท่านพูดแล้วทำไม่ได้นะ ของท่านทำได้จริง พูดแล้วไม่ใช่ว่าให้ลูกศิษย์ลูกหาบอกว่าท่านนี่เก่งนะ อย่าให้อาจารย์ทำนะอย่างสมัยโบราณใช่ไหม อย่างพราหมณ์หรือไง พวกเดียรถีย์นะกูจะเหาะมึงอย่าให้กูเหาะเชียวนะ มึงรั้งไว้นะ อย่านะอาจารย์อย่า แต่ของท่านทำได้ ท่านลองของ ลองแล้วก็ไม่ได้ใช้ หลวงพ่อส่วนมากจะใช้เจโตฯ ใช้มากเจโตฯ

    ท่านบอกก็ไม่ได้ใช้อะไร บอกพระมาบอกใช่ไหม พระมาบอกวันนี้มีใครมาบ้าง คนมีมาระดับไหน มาแล้วจะได้มรรคได้ผลไหม ต้องพูดอย่างไรถึงจะรู้เรื่อง สังเกตที่เราลากท่านมา (ลากรถเข็นที่หลวงพ่อท่านนั่ง) ท่านจะมองหาคนแล้ว เอ้อไอ้คนที่ท่านรู้มามันมารึยัง ท่านจะบอกการแต่งตัวมาเลย คนกำลังใจขนาดไหน คนนี้พูดยังไงถึงจะรู้เรื่อง ทักยังไงถึงจะรู้อะไรอย่างนี้

    “ก็แสดงว่าที่หลวงพ่อพูดแล้วมันถูกจุดคนโน้นถูกใจคนนี้ ก็แสดงว่ารู้ล่วงหน้ามาแล้วใช่ไหมครับ”

    ส่วนมากพระท่านคุมทั้งวันทั้งคืน ไอ้เราพระท่านไม่ยอมให้คุมด้วย (หัวเราะ)

    ไอ้คนที่ประตูน้ำมันกินเหล้าเมาจัด มันนั่งอยู่ข้างนอก แล้วหลวงพ่อก็เทศน์ออกทีวี เสียงมันก็ออกมาข้างนอกนะ ท่านพูดฉลาด ท่านไม่ได้ว่าคนโน้นคนนี้ บอกบางคนบางทีกินเหล้าเมาเสียจนเป๋ไปเป๋มาแล้วก็บอกค้าขายไม่ดี มันจะดีได้อย่างไรก็ไปมัวเมาซะ แค่นั้นแหละไอ้คนนั้นกลับบ้าน พอกลับบ้านไปถึงปุ๊บมันอธิษฐานเลยนะ ไอ้ดอกไม้พวงมาลัยที่วางอยู่นะ ถ้าหากหลวงพ่อแน่จริงนะ พรุ่งนี้ให้ขายให้ได้ภายในเวลาเท่านั้นๆๆ แล้วมันจะมาทำบุญก็ปรากฏว่าขายได้จริงๆน่ะ

    พอเข้ามาจะทำบุญปุ๊บ ท่านเทศน์ต่อไปเลยว่าไอ้บางคนน่ะ พอขายไม่ดีมันก็ท้ากับพระ บอกว่าถ้าพระแน่จริงต้องช่วยให้ขายไอ้โน้นไอ้นี่ แล้วมันจะมาทำบุญ บางทีวันนี้ก็มีมาเหมือนกันนะ ไอ้นั่นตั้งแต่วันนั้นนับถือชั่วชีวิตเลย แล้วมันขายของดีด้วย เลิกกินเหล้าไปเลย

    เอ้า จริงๆ ลูกหลวงพ่อมักเป็นโจรกลับใจเสียเยอะ พวกเขี้ยวลากดินมาทั้งนั้น (หัวเราะ) เมื่อสมัย 10 ปีก่อนโน้นน่ะ นี่เขาเล่ามาเราไม่รู้ หลวงพ่อยังนั่งสอนอยู่ตรงนี้ใช่ไหม ไอ้คนนั้นน่ะมันเตรียมปืนผาหน้าไม้แล้ว คือจะไปฆ่าเขานะ แล้วเพื่อนอีกคนบอก เฮ้ย..ก่อนจะไปฆ่าเขานะ ไปที่ซอยสายลมหลวงพ่อฤๅษีท่านดังนะ เหรียญท่านเหนียว เผื่อเขาจะยิงเรามันจะได้ยิงเราไม่ออก

    ก็มาซอยสายลมพอนั่งปุ๊บ หลวงพ่อฉลาดอยู่แล้วนี่ เวลาท่านเทศน์ท่านเทศน์รวมไปเลย แต่ว่าเทศน์เรื่องนั้นน่ะไปจี้ไอ้คนนั้นคนเดียว บางคนอาฆาตพยาบาท เตรียมปืนผาหน้าไม้จะไปฆ่าเขา แล้วเขาลืมนึกไปว่าคนที่เป็นญาติของเขาจะต้องล้างแค้นล้างกันไปล้างกันมา เทศน์ไปเทศน์มาปุ๊บ ก็สะกิดเพื่อนบอก เฮ้ย..สงสัยไม่ต้องไปก็ได้ว่ะ (หัวเราะ) เหรียญเหริญกูไม่เอาแล้ว แล้วก็เลยไม่ต้องฆ่าเขา ทุกวันนี้ก็อยู่รอดปลอดภัยสบายดี

    (จากธัมมวิโมกข์ ตุลาคม 2537 หน้า 87-88)
     

แชร์หน้านี้

Loading...