เสียงธรรม เข้าใจธรรมดาของโลก / หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

ในห้อง 'ธรรมเทศนาทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 4 กรกฎาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ปัญหาใหญ่ของนักปฏิบัติ :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๒๔ มี.ค. ๒๕๖๑

    ความคิดปิดบังความจริง :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๒๕ มี.ค. ๒๕๖๑

    วิสุทธิเทพ :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๓๑ มี.ค. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on May 3, 2018
    (๑) เรียนธรรมะต้องอดทนจริงๆ ขยันรู้ ขยันดู ขยันสังเกต ไม่ใช่ขยันคิด ขยันถาม ขยันคิด ขยันถาม จะไม่มีวันเข้าใจธรรมะเลย เพราะความคิดทั้งหลายนี้เอง ที่ขวางกั้นการเห็นสภาวธรรมไว้ ยิ่งคิดมากเท่าไร ยิ่งไม่เห็นรูปนาม ความคิดปิดบังความจริงทั้งหมด เพราะฉะนั้นอย่าไปหลง พอคิดมากก็สงสัยมาก สงสัยมากก็ถามมาก ถามมากก็เอาไปคิดต่อ คิดต่ออีกกยิ่งสงสัยอีก ไม่มีวันจบสิ้นเป็นวงจรอุบาทว์ ความสงสัยของเรา คือวงจรอุบาทว์
    (๒) ช่วงที่ไม่ได้เจอครูบาอาจารย์ ถ้าความสงสัยเกิดขึ้น หลวงพ่อทำยังไง หลวงพ่อรู้ว่าสงสัย เราก็จะเห็นว่า ความสงสัยเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เช่นเดียวกับองค์ธรรมอื่นๆ นั่นเอง ฉะนั้น ความสงสัยไม่มีนัยยะอะไรกับหลวงพ่อเลย ความสงสัยเกิดขึ้น ไม่ต้องหาคำตอบ ความสงสัยเกิดขึ้น รู้ว่าจิตสงสัย และเห็นว่าความสงสัยเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ห้ามไม่ได้ บังคับไม่ได้ นี่คือการปฏิบัติ นักปฏิบัติต้องสู้แบบนี้ ไม่ใช่ถามอุตลุด เจอก็ถามๆ บางคนเจอทุกครั้ง ต้องถามทุกครั้ง แล้วพวกนี้ไม่เคยเจริญสักคนเดียว --
    พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2023
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    กำแพงในใจ : หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

    ขันติ :: หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันที่ ๑ เม.ย. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on May 9, 2018
    (๑) ต้องภาวนา ต้องสู้ อะไรๆ สู้อดทนไม่ได้ ตัวที่สำคัญมากคือ ขันติ ไม่มีขันติตัวเดียว ความดีทั้งหลายไม่ยั่งยืน ทำไปแล้วเจริญ แล้วก็ขี้เกียจ แล้วก็เสื่อมไป เจริญแล้วเสื่อมหลายๆ รอบ ก็หมดแรง ไม่มีกำลังใจจะทำต่อ หลวงพ่อจะสอนพระบวชใหม่ๆ อดทนไว้ ทนต่อคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ ทนต่อความไม่ได้อย่างใจ ไม่ได้อย่างใจนี่เต็มไปหมด เพราะว่าไม่สามารถตอบสนองอะไรได้สักอย่าง อยากนอนที่นอนนุ่มๆ ก็ไม่มีให้นอน มีเพียงเสื่อ ที่นอนบางๆ ให้นอน
    (๒) เราภาวนา อย่าให้ท้อถอย อดทนไว้ รักษาศีลไว้ แล้วทุกวันฝึกจิตตัวเองให้จิตตั้งมั่น วิธีฝึกให้จิตตั้งมั่น คือ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้เวลาจิตมันไหลไป เช่น เราพุทโธ เรารู้ลมหายใจ จิตหนีไปคิด เรารู้ จิตไปอยู่ในความว่าง เรารู้ จิตไปอยู่ที่ลมหายใจ เรารู้ คอยรู้ทันจิตไปเรื่อยๆ "ทำกรรมฐานอย่างหนึ่ง แล้วรู้ทันจิตไป" บทเรียนนี้ ชื่อ จิตตสิกขา สิ่งที่ได้มาคือสมาธิที่ถูกต้อง ไม่มีสมาธิที่ถูกต้อง เจริญปัญญาไม่ได้ -
    - พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ๑ เมษายน ๒๕๖๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2018
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ไม้ตายสุดท้ายคืออดทน :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๑๘ ก.พ. ๒๕๖๑

    ความเหมือนในความต่าง :: หลวงพ่อปราโมทย์ วันที่ ๗ เม.ย. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on May 15, 2018
    (๑) พอเราเห็นสภาวะแต่ละตัวๆ บ่อยๆ ต่อไปเราจะจับลักษณะร่วมของทุกตัวได้ ลักษณะร่วมของทุกๆ ตัวเรียกว่าสามัญญลักษณะ มีคำอยู่ ๒ คำ อันหนึ่งคือ วิเสสลักษณะ ลักษณะเฉพาะตัวที่ทำให้เราแยกได้ ว่าอันนี้คือสภาวะอย่างนี้ๆ แต่ทุกๆ ตัวมีลักษณะร่วมกัน เรียกว่า สามัญญลักษณะ ลักษณะร่วมกันคือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    (๒) ตรงที่เราเห็นตรงนี้ เป็นปัญญา แล้วการที่เรามีสติ รู้รูป รู้นามไป ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลางอยู่ แล้วเราเห็นเค้าแสดงความเป็นไตรลักษณ์อยู่ อันนั้นเราทำวิปัสสนาอยู่ ทำวิปัสสนาไปเรื่อยๆ มันก็เกิดปัญญา เกิดความรู้ถูก เกิดความเข้าใจถูก พอศีล สมาธิ ปัญญา ของเราสมบูรณ์แล้ว อริยมรรคจะเกิดเอง พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช วัดสวนสันติธรรม วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2018
  4. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,581
    สาธุค่ะ
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ติดอยู่ในภพ :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๘ เม.ย. ๒๕๖๑

    พร้อมจะตาย :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๘ เม.ย. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on May 17, 2018
    พระพุทธเจ้าท่านเคยสอนไว้ บอกว่า เราอยู่ในภพอะไร เราก็จะติดอยู่ในภพอันนั้น อย่างเราเป็นโยม เราก็จะติดในความเป็นโยม อยู่ไปนานๆ เป็นมนุษย์ ก็อยากเป็นมนุษย์ไปเรื่อยๆ เป็นหมา ก็อยากเป็นหมาไปเรื่อยๆ รู้สึกเป็นหมาดี ไม่ลำบากเรื่องแฟชั่น ทุกวันแต่งตัวเหมือนกันหมด สัตว์ทั้งหลายจะติดอยู่ในภพของตัวเอง มันคุ้นเคย จิตของเราเวลาไปคุ้นเคยกับอะไรแล้ว มันจะไม่ค่อยทิ้งสิ่งนั้น เหมือนถ้าเราไม่ได้ภาวนา เราก็จะคุ้นเคยกับการเป็นคนแบบนี้ เหมือนๆ กันไป ตามๆ กันไปทุกวันๆ ตอนเด็กๆ ก็ไปเรียนหนังสือ โตขึ้นไปก็ทำงาน มีครอบครัว เลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน แล้วก็ตายไป ตามแบบกันตั้งแต่เกิดจนตาย ดูๆ ก็น่าสงสาร ไม่รู้ว่าทางรอดมันมี ชีวิตคนเราเกิดมา ไม่ใช่แค่ว่าเกิดมากิน มาเสพกาม มาหาเกียรติยศ กิน กาม เกียรติ มีอยู่แค่นี้เอง ไม่รู้ว่ามันมีสิ่งที่เหนือกว่านั้นอีก คือธรรมะ --
    พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ๘ เมษายน ๒๕๖๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2023
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    กราบที่คุณธรรม :: หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ๑๓ เม.ย. ๒๕๖๑

    โลกไม่มีอะไรด้านเดียว :: หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ๑๓ เม.ย. ๒๕๖๑

    ฝึกเล็กนิดเดียว :หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ๒๔ ก.พ. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on May 21, 2018
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    กระทบแล้วกระเทือน :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๑๔ เม.ย. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on May 23, 2018
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2018
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ใจรู้ไม่ใช่เรารู้ :หลวงพ่อปราโมทย์ ๑๔ เม.ย. ๒๕๖๑

    เส้นทางเดินสู่พระนิพพาน : หลวงพ่อปราโมทย์ ๑๕ เม.ย. ๒๕๖๑

    วัดใจทุกไตรมาส :หลวงพ่อปราโมทย์ ๑๕ เม.ย. ๒๕๖๑

    คนประมาท :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๒๑ เม.ย. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on May 31, 2018
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หนี้ต้องใช้ :: หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ๒๑ เม.ย. ๒๕๖๑

    จิต :: หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ๒๒ เม.ย. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on Jun 4, 2018
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2018
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ภาวนาเก็บเล็กเก็บน้อย :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๒๘ เม.ย. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on Jun 6, 2018
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2023
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    จิตรู้ กับ จิตคิด/ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    เรื่องตัวรู้นั้น มันไม่มีตัว มีตน หรือมีจุด มีดวง อะไรหรอกครับเอาเข้าจริงในการปฏิบัตินั้น ก็มีแต่เรื่อง จิต กับ อารมณ์"จิต" เป็นผู้รู้ ผู้คิด ผู้นึกส่วน "อารมณ์" เป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ (สิ่งที่รู้ได้ทางใจ) เวลาที่คุณเกิด "ความสงสัย"ถ้ามีสติระลึกรู้เข้าไปที่ความรู้สึกสงสัยนั้น (ไม่ใช่รู้ "เรื่อง" ที่สงสัย นะครับ แต่รู้ที่ "ความรู้สึก" สงสัย) จะเห็นชัดว่า ความสงสัยเป็นสิ่งที่ถูกรู้ในร่างกายและจิตใจเรานั้น มีอีกสิ่งหนึ่ง ที่เป็นผู้ไปรู้ความสงสัยนั้นเข้า อันนี้แหละครับที่สมมุติเรียกไปก่อนว่าผู้รู้เอาเข้าจริง ผู้รู้ ก็คือจิตที่ประกอบด้วยสติ สัมปชัญญะ อุเบกขา เอกัคตาหรือจิตที่ประกอบด้วยสัมมาสมาธินั่นเอง คือเป็นจิตที่เป็นผู้รู้ ที่มีความเป็นกลางและตั้งมั่น ไม่หลง"ไหล" ไปตามอารมณ์ที่จิตไปรู้เข้า (ผมจงใจใช้คำว่า หลง"ไหล" ไม่ได้ใช้คำว่า หลงใหล) ในขั้นแรก อย่าพยายามไปค้นหาจิตผู้รู้ เพราะหาอย่างไรก็หาไม่พบ เนื่องจากจิตกำลังหลงอยู่กับอาการเที่ยวค้นหาผู้รู้ แต่ให้พยายามรู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏไปก่อนเช่น สงสัย ก็รู้ว่าสงสัย เห็นชัดว่าความสงสัยไม่เที่ยง คือมีระดับความรุนแรงของความสงสัย ที่ไม่คงที่เดี๋ยวก็สงสัยมาก เดี๋ยวก็สงสัยน้อย เดี๋ยวก็ดับหายไปจิตก็จะว่างๆ อยู่ ต่อมาความคิดเกิดขึ้นอันนี้อย่าไปเพ่งใส่ความคิดนะครับ มันจะดับไปเฉยๆ ควรปล่อยให้จิตมันคิดของมันไปเมื่อจิตทำงานอยู่อย่างนั้น ไม่นานก็จะเห็นกิเลสตัณหาต่างๆ เกิดขึ้นอีกหรืออาจเกิดเวทนา เช่น รู้สึกเป็นสุขสบาย หรืออึดอัดขัดข้องใจก็ให้รู้สภาวธรรมทั้งปวงที่ปรากฏขึ้นนั้น ในลักษณะเดียวกับที่รู้ความสงสัยนั่นเองคือให้รู้มัน ในฐานะที่มันถูกรู้ แล้วมีผู้รู้เป็นคนดูอยู่ต่างหากหัดทำอย่างนี้ไม่นาน ก็จะเข้าใจได้ว่า อะไรคือจิต (ผู้รู้) อะไรคืออารมณ์ (ที่ถูกรู้) และเห็นสิ่งที่ถูกรู้ แสดงไตรลักษณ์อยู่ตลอดเวลารวมทั้งเห็นด้วยว่า เมื่อใดจิตเกิดความยินดียินร้ายต่ออารมณ์จิตเข้าไปยึดอารมณ์ จิตจะเกิดทุกข์พอรู้ทันอย่างนั้น จิตจะกลับมาตั้งมั่น เป็นกลาง และรู้อารมณ์ต่อไปอีกจิตเพียง "รู้สักว่ารู้" จะเห็นอารมณ์เกิดดับไปเรื่อยๆ โดยจิตเป็นกลาง ไม่เข้าไปแทรกแซงอารมณ์ก็ให้เพียรปฏิบัติไปมากๆ ครับถ้าสติปัญญาทำงานทันผัสสะจริงๆจึงจะ "สักแต่ว่า" ได้ครับคือ จิตไม่ปรุงแต่งต่อไป รู้แล้ววางอยู่แค่นั้นเลย หรือแม้ว่า จิตจะปรุงแต่งต่อไปอีกถ้าจิตไม่หลงยึดถือไปตามความปรุงแต่งนั้น อันนี้ก็ยังถือว่า "สักแต่ว่า" ได้เหมือนกัน เมื่อวานซืน ยืมลูกคุณหมอท่านหนึ่งมาเป็นอุปกรณ์ทางการศึกษาคือชี้ให้ดูว่า สิ่งที่เห็นเป็นเด็กนั้น ที่จริงคือสีที่ตัดกันเท่านั้นแล้วตาก็ไม่รู้หรอกว่า นี่สีอะไร รวมกันแล้วเป็นรูปอะไรอาศัยสัญญา จึงรู้ว่า นี้เป็นรูปที่บัญญัติเรียกว่าอะไรเมื่อจิตรู้ว่า นี้คือลูกแล้วสังขารคือความคิดนึกปรุงแต่งก็ทำงานต่อ มีความรักเกิดขึ้นปกติจิตของเราทำงานเร็วมากในทางทฤษฎี ถ้าตาเห็นสีแล้วหยุดอยู่เพียงนั้น ก็เรียกว่า สักแต่ว่าเห็นแต่ในความเป็นจริง ช่วงต่อระหว่างที่ตาเห็นสี กับสัญญาแปลความหมายนั้นสั้นมากพอเห็นปุ๊บ ก็สรุปว่านี้คือ ลูกเรา เสียแล้วแล้วสังขารก็ทำงานต่ออย่างรวดเร็วปรุงเป็นความรักใคร่หวงแหนห่วงใยขึ้นมาแล้ว นักปฏิบัติที่ยึดตำรามากเกินไป ที่บอกว่าทำสติรู้ สี อย่างเดียวนั้นเอาเข้าจริงจึงเป็นการหลอกตัวเอง เพราะพอเกิดผัสสะทางตาแล้ว วับเดียวก็เกิดผัสสะทางใจตามมาแล้วถ้าเมื่ออารมณ์ทางใจเกิดขึ้น แล้วทำเป็นไม่รับรู้เพราะ "อยาก" รู้สีอย่างเดียว เพื่อให้เป็นปัจจุบันและต่อเนื่อง มันจึงไม่ใช่ปัจจุบัน เพราะ ปัจจุบันมันย้ายไปเป็นอารมณ์ทางใจเสียแล้ว เมื่ออารมณ์ทางใจปรากฏเด่นชัด ก็ควรรู้มัน ไม่ใช่ปฏิเสธมัน เพราะจะเอาแต่รู้อารมณ์ทางตาอย่างเดียว แต่การรู้อารมณ์ทางใจนั้น ก็ให้ "สักแต่ว่ารู้"คือรู้ตามที่มันเป็น ไม่ใช่หลงปล่อยให้เกิดตัณหาผลักดันจิต ให้ทะยานเข้าไปยึดอารมณ์แบบไม่รู้ทัน รวมความแล้ว สักแต่ว่า ก็ต้องอาศัย สติ รู้อารมณ์ตามที่มันเป็นตามที่คุณถามไว้นั่นเอง แม้ตอนแรกจะรู้อารมณ์ทางตา ขณะต่อมารู้อารมณ์ทางใจก็สามารถ สักแต่ว่ารู้ ได้ทั้งนั้น ทั้งที่ตาและที่ใจหากไม่สักแต่ว่ารู้ อะไรจะเกิดขึ้น?สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือปฏิจจสมุปบาทจาก ผัสสะ เวทนาตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ จนถึงทุกข์ นั่นเองหากสักแต่ว่ารู้ แม้มันจะก้าวกระโดดจากการรู้สีด้วยตา ไปรู้ธรรมารมณ์ทางใจก็ตาม จิตที่ไม่หลงยินดีไปกับธรรมารมณ์ ก็จะไม่ปรุงแต่งจนเกิดความทุกข์ขึ้นมา คำว่า "สักแต่ว่า" จึงเป็นสิ่งที่จะตัดวงจรของปฏิจจสมุปบาทให้ขาดตอนลงไม่เกิดตัณหา อุปาทาน ขึ้นหรือแม้เกิดตัณหา ก็ไม่ หลง "ไหล" ตามตัณหาไปจนเป็นอุปาทานท่านพระพาหิยะ ฟังธรรมแค่ สักแต่ว่า สักแต่ว่า เพียง ๑-๒ คำท่านเข้าใจ และตัดวงจรปฏิจจสมุปบาทขาด และท่านก็เข้าใจปฏิจจสมุปบาท หรืออริยสัจจ์ตลอดสายคือ "รู้" ว่าทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่เกิดขึ้นได้อย่างไรอวิชชา ความ "ไม่รู้" ก็ขาดออกจากจิตของท่านในขณะนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2020
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    เส้นทางของคนต้องอดทน : หลวงพ่อปราโมทย์ ๙ มิ.ย. ๒๕๖๑

    ต่อยอดการปฏิบัติ :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๒๗ พ.ค. ๒๕๖๑ (ไฟล์ 610527A ซีดี ๗๖)

    Dhamma.com
    Published on Jul 6, 2018
    (๑) แต่ละคนมีต้นทุนไม่เท่ากัน อย่างศรัทธา บางคนก็มี บางคนก็ไม่มี วิริยะ บางคนก็มี บางคนก็ไม่มี สติ บางคนก็มี บางคนไม่มี สมาธิ ปัญญา มีไม่เท่ากัน ๕ อย่างนี้เป็นกำลังที่จะให้เกิดอริยมรรค เรียกว่า พละ เป็นกำลัง ๕ อย่าง บางคนสะสมมาแต่ชาติก่อน กำลังดี แล้วชาตินี้ประมาท ก็เสื่อมไป ทำไมศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาที่สะสมมาเสื่อมได้ เพราะยังเป็นโลกียะอยู่ ไม่ใช่โลกุตตระ
    (๒) การภาวนาประมาทไม่ได้ ถ้าประมาท ถ้าย่อหย่อน ถึงเคยดีมาก่อน มันก็เสื่อมได้ มันยังไม่พอ ถ้าพอมันจะเกิดอริยมรรค (๓) การปฏิบัติต้องต่อยอด ต้องทำไปทุกวันๆ สิ่งที่ครูบาอาจารย์ช่วยเราก็คือ ชี้ทางให้
    พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ศรีราชา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2018
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    วิธีเจริญปัญญาของนักดูจิต : ๑๐ มิ.ย. ๒๕๖๑ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

    กุญแจไขความลับของจิต :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๑๖ มิ.ย. ๒๕๖๑

    เจริญเมตตาไว้ ศีลมาทุกข้อ :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๑๖ มิ.ย. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on Jul 30, 2018
    ใจที่เมตตา มันภาวนาง่าย ใจร้ายใจดำ ภาวนาไม่ขึ้นหรอก ใจอ่อนโยนเมตตา เหมาะสำหรับธรรมะ อย่างเราใจมีเมตตา ศีลเราก็มาแล้ว ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายสัตว์ ไม่ทำร้ายคน ถ้าเรามีความเมตตา เราก็ไม่ไปขโมยของใคร เดี๋ยวเขาเป็นทุกข์ เรามีเมตตา เราก็ไม่ไปเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน เดี๋ยวเขาเป็นทุกข์ ไม่โกหกหลอกลวง เขาเข้าใจผิด เดี๋ยวเขาเป็นทุกข์ เจริญเมตตาไว้ ศีลมาตั้งเยอะ และถ้าเมตตาตัวเองด้วย ก็จะไม่ไปกินเหล้า ไม่ไปติดยาเสพติด คนไปกินเหล้า มันไม่เมตตาตัวเอง แค่เราเจริญเมตตา ศีลเรามีทุกข้อเลย และการที่ใจเรามีเมตตา ใจอ่อนโยน นุ่มนวล มีความสุข มีความสงบอยู่ เราได้สมาธิแล้ว พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    วัดสวนสันติธรรม ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๑
    ไฟล์ 610616B ซีดีแผ่นที่ ๗๖
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2018
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    เรียนแล้วไม่ภาวนา กิเลสไม่กระเทือน :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๑๗ มิ.ย. ๒๕๖๑

    น้ำขึ้นให้รีบตัก :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๒๓ มิ.ย. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on Aug 3, 2018
    (๑) การภาวนา ต้องใช้หลักน้ำขึ้นให้รีบตัก มีแรงก็รีบภาวนา อย่ารอให้แก่ อย่ารอให้เจ็บ บางคนรอจนถึงตาย พอใกล้จะตาย ญาติจะมาบอก มาบอกหลวงพ่ออย่างนี้ ว่าคนนี้ใกล้จะตายแล้ว ถามว่า เคยภาวนาไหม บอกว่า ไม่เคย อยากจะขอธรรมะจากหลวงพ่อไปช่วยหน่อย ช่วยไม่ได้หรอก เหมือนคล้ายๆ คนตกน้ำไปแล้ว กำลังจะจมน้ำตายแล้วมาถามหาวิธีว่ายน้ำ ไม่รอดหรอก เพราะฉะนั้นเราไม่ประมาท ยังมีเรี่ยวมีแรง รีบภาวนา
    (๒) เราต้องฝึกตัวเอง การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร ฝึกตัวเอง ให้มันพ้นจากอำนาจของกิเลสให้ได้ ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาไป ทำทุกวันๆ
    พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    วัดสวนสันติธรรม ศรีราชา
    วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๑
    ไฟล์ 610623A ซีดีแผ่นที่ ๗๗

     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    อริยมรรค :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๑๔ ก.ค. ๒๕๖๑

    พลังงานของจิต :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๘ ก.ค. ๒๕๖๑

    วิธีเจริญปัญญาของนักดูจิต :: ๑๐ มิ.ย. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on Aug 24, 2018
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2022
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ดูจิตผ่านความรู้สึก :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๑ ก.ค. ๒๕๖๑

    รู้ทันจิตผ่านความรู้สึก กับพฤติกรรมของจิต :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๑๔ ก.ค. ๒๕๖๑

    จิตออกนอก :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๑๕ ก.ย. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on Aug 25, 2018
    ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้ทันจิตไปเรื่อยๆ เวลาเรารู้ทันจิต เรารู้ได้ ๒ อย่าง อย่างหนึ่ง รู้ความรู้สึกที่เกิดร่วมกับจิต เช่น ตอนนี้จิตเป็นสุข ตอนนี้จิตทุกข์ ตอนนี้จิตดี ตอนนี้จิตชั่ว จิตโลภ โกรธ หลง อันนี้รู้ความรู้สึกที่เกิดร่วมกับจิต อีกอย่างหนึ่ง คือ รู้พฤติกรรมของจิต พฤติกรรมของจิต เช่น มันวิ่งไปดู มันวิ่งไปฟัง มันวิ่งไปคิด มันวิ่งไปเพ่ง มันเคลื่อนไปเคลื่อนมา มีพฤติกรรม มันเข้าไปแทรกแซงอารมณ์ ด้วยความยินดี ด้วยความยินร้าย อย่างนี้เรียกว่ารู้เท่าทันพฤติกรรมของมัน
    พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    วัดสวนสันติธรรม ศรีราชา
    วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2023
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    บุญฤทธิ์ สัจจกิริยา :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๒๘ ก.ค. ๒๕๖๑

    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แสดงธรรม ณ บ้านจิตสบาย 2 พ.ย. 57

    Dhamma.com
    Published on Sep 7, 2018

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2019
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ปรุงดี ปรุงชั่ว ปรุงว่าง :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๒๗ ก.ค. ๒๕๖๑

    จิตเคลื่อนแล้วรู้ :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๒๘ ก.ค. ๒๕๖๑

    ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๒๙ ก.ค. ๒๕๖๑

    งานฝึกจิตใจ ๒ งาน :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๔ ส.ค. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on Sep 11, 2018
    งานที่เราจะฝึกตัวเอง งานฝึกจิตใจ มี ๒ งาน อันหนึ่งเรียกว่า สมถกรรมฐาน อันหนึ่ง เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน
    สมถกรรมฐาน เป็นของที่มีประโยชน์ แต่วิปัสสนากรรมฐาน เป็นของที่จำเป็น ระหว่างมีประโยชน์ กับจำเป็น ไม่เท่ากัน ของจำเป็น หมายถึง ถ้าขาดวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ก็คือขาดศาสนาพุทธ ส่วนสมถกรรมฐาน มีประโยชน์ แต่มีมาก่อนพระพุทธเจ้าอีก คือ การฝึกจิตให้สงบ ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ จะไม่มีคำสอนเรื่องวิปัสสนากรรมฐาน ฉะนั้น เราต้องเรียนให้ดี
    -- พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม
    วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๑
    ไฟล์ 610804A ซีดีแผ่นที่ ๗๗
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2018
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    จุดตั้งต้นของการเจริญปัญญา :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๔ ส.ค. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on Sep 12, 2018
    ตัวอย่าง ขณะนี้ร่างกายเรานั่งอยู่ รู้สึกไหม ร่างกายนั่ง ร่างกายมันถูกเรารู้อยู่ ใครเป็นคนรู้ จิตเป็นคนรู้ ค่อยๆ ฝึกไป ในที่สุดเราจะรู้ชัดว่า กายมันอยู่ส่วนหนึ่ง ใจมันอยู่ส่วนหนึ่ง ใจเป็นคนรู้ ร่างกายเคลื่อนไหว ใจเป็นคนรู้ ร่างกายหยุดนิ่ง ใจเป็นคนรู้ อย่างนี้ เรียกว่าเราเริ่มแยกรูป แยกนามได้ มันคือจุดตั้งต้นของการเจริญปัญญา เมื่อแยกรูปแยกนามได้แล้ว เราค่อยๆ สังเกตต่อไป รูปนามทั้งหลายไม่เที่ยง อย่างหน้าตาเราปีนี้ กับหน้าตาเราปีกลายก็ไม่เหมือนกัน เห็นอย่างนี้ยังไม่ใช่วิปัสสนา มันเป็นการเปรียบเทียบสภาวะ ๒ อัน ๒ เวลา คนละอัน ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา เราต้องเห็นสภาวะที่กำลังมี กำลังเป็น หรือกำลังปรากฏ หรือเพิ่งดับไปสดๆ ร้อนๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ดูตัวมันเอง มันถึงจะเป็นวิปัสสนา ถ้าดูในเราวันนี้กับใจเราเมื่อวานไม่เหมือนกัน แสดงว่าไม่เที่ยง อันนี้ยังไม่ใช่วิปัสสนา ไม่ถึงวิปัสสนา เป็นปัญญาที่เรียกว่า สัมมสนญาณ ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา ตรงวิปัสสนา เราจะเห็นสภาวะ เช่น ความโกรธเกิดขึ้นมา แล้วความโกรธตัวนี้หายไป ตัวเดียว ไม่ใช่ ๒ ตัวเทียบกัน -- พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    วัดสวนสันติธรรม วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๑
    ไฟล์ 610804B ซีดีแผ่นที่ ๗๗
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2023
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ออกจากโลกของความฝัน เรียนความจริง :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๑๑ ส.ค. ๒๕๖๑

    ความรู้สึกตัวเป็นจุดตั้งต้นของการปฏิบัติ :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๒๖ ส.ค. ๒๕๖๑

    ขั้นตอนการภาวนา :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๒๙ ก.ค. ๒๕๖๑

    Dhamma.com
    Published on Sep 8, 2018
    อันแรก ถือศีล ๕
    อันที่สอง ทำในรูปแบบ เบื้องต้นไหว้พระ สวดมนต์ นิดหน่อย นึกถึงคุณงามความดีของตัวเอง แล้วมีใจมีความสุข ไปรู้อารมณ์ที่มีความสุข อย่างต่อเนื่อง อารมณ์ที่ไม่ยั่วกิเลส แล้วถัดจากนั้น พอจิตใจมีความสุข จิตใจสงบตั้งมั่นแล้ว เจริญปัญญา แยกรูปนาม
    เห็นร่างกายนั่ง ร่างกายหายใจ ร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่ง ใจเป็นคนดู หรือเห็นจิตใจตัวเอง เฝ้ารู้ รู้ลม รู้พุทโธ จิตสงบ เราก็รู้เอา สบายๆ พอถัดจากนั้น มาเจริญปัญญา มันจะเห็นความสงบ ความสุข หรือความดี ความชั่ว ที่เกิดขึ้นในจิต เป็นของไม่คงที่ ไหลมาแล้วก็ไหลไป ตัวนี้เจริญปัญญา ทีนี้พอเราฝึกเจริญปัญญาในขณะทำในรูปแบบได้แล้ว
    ต่อไปก็ออกสนามรบจริง คือ เจริญสติในชีวิตประจำวัน อันนี้ยากนะ ครูบาอาจารย์สอนถึงขนาดบอกว่า ทำสมาธิมากเนิ่น คือทำความสงบอย่างเดียวเนิ่นช้า พิจารณามาก ฟุ้งซ่าน
    หัวใจสำคัญของการปฏิบัติ คือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
    การเจริญสติในชีวิตประจำวันมีหลักง่ายๆ มีตาก็ดู มีหูก็ฟัง มีใจก็คิด ให้มันทำงานตามปกติ
    อายาตนะทั้งหลาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำงานไป แต่พอมันทำงานแล้ว เกิดสุขให้รู้ เกิดทุกข์ให้รู้ เกิดกุศลให้รู้ เกิดอกุศลให้รู้ ฝีกไปอย่างนี้
    -- พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    วัดสวนสันติธรรม วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑
    ไฟล์ 610729A ซีดีแผ่นที่ ๗๗
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2023

แชร์หน้านี้

Loading...