ไม่รู้จักกัน

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย อนัตตา, 4 มกราคม 2019.

  1. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    แบกตำรากันจนกลายเป็น...ตอเต่าหลังตุง...ฮาๆ
    :D:D:D
     
  2. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ช่วงนี้อ่อนล้าชมัด ฝากนิทานไว้สักเรื่อง

    นิมิตรไปว่า ที่ผ่านมา แค่ทักทาย ต่อจากนี้ไปมีหนักๆอีก 2 ช่วง
    เริ่มจาก 8 เดือน แล้วพัก 3 เดือน
    ไม่มี ศีล น่าจะแย่ อาราถนาศีลกันบ่อยๆเน้อ
    ไวรัสล้างโลก
     
  3. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ตอนนี้ก็อยู่ท่ามกลางโควิดเหมือนกันค่ะ
     
  4. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เมื่อก่อนเน้นรักษาศีลเป็นพื้นฐาน คอยระวังไม่ให้ศีลด่างพร้อยแค่นั้น เอาศีลเป็นหลัก เพราะครูบาอาจารย์ท่านย้ำเรื่องศีลก่อนเรากลับบ้าน ท่านให้รักษาให้บริสุทธิ์ รักษาให้บริสุทธิ์ตลอดชีวิต แค่ศีล 5 บริสุทธิ์ก็ปิดอบายภูมิได้แล้ว ท่านว่าอย่างนั้น

    จนมาถึงวันนี้ เราจึงได้เห็นว่าศีลคือรากของทั้งหมดแห่งความดี คนกลัวนรกอย่างเราจึงเกาะศีลไว้แน่นๆ กิเลสก็ยังเกิดได้นะ แต่กระทำกรรมไม่ได้ เพราะมีศีลเป็นเครื่องกั้น เราก็ทอนกำลังของกิเลสไปได้ระดับหนึ่งจากศีล เหมือนการตัดต้นไม้ใหญ่ โดยลดทอนกิ่งก้านของมันก่อน

    เราไม่เคยคิดว่าวันข้างหน้าจะไปสอนธรรมใคร เอาแค่ตัวเองรอดจากนรกชาตินี้ก็ใช้ได้แล้ว คิดแค่นี้ ไม่ได้หวังความเป็นอริยบุคคล

    อะไรที่รู้แล้วก็ผ่าน ไม่เก็บรายละเอียดใดๆ เราเป็นอย่างนั้น นักวิ่ง มองแค่เส้นชัย ไม่มองว่าวิ่งยังไง แบบไหน เราจึงโง่ตลอดสาย

    มานะทิฏฐิมีอยู่เต็มใจนะเมื่อก่อน เวลาที่กิเลสแสดงตัวนะ นั่งหน้าแดงกล่ำอยู่หน้าคอม หูร้อนวาบๆ เลือดมันสูบฉีดแรง รู้ตัวนะว่านี่กำลังโกรธ ในใจก็คิดว่าทำยังไงดี ตัวจะแตกไหม ไอ้คนที่อยู่ในจอมันก็ด่าเราเสียๆ หายๆ เวลาที่กิเลสมันขึ้น แรงมาก ข่มมันไว้ไม่ให้มันไปทำร้ายใคร แต่จริงๆ ตัวเองนั่นแหละโดนกิเลสทำร้ายแล้ว แรงจริงแรงจัง เมื่อก่อนนี้นะ แรงน่ากลัวมาก แต่การส่งออกมันดันสวนทางกับภายใน ไม่ไปด่าว่าโต้ตอบเสียๆ หายๆ ขณะที่ภายในมันตุ้บๆ ตั้บๆ จังหวะการสูบฉีดเลือดแรงและดังมาก ถ้าไอ้คนนั้นมันไม่ได้อยู่ในจอแต่อยู่ใกล้ตัว คงโดนขย้ำ อารมณ์มันแรงขนาดนั้น

    ก็เพียรมาเรื่อยๆ จากที่ต้องข่มไว้ กลายเป็นวางลง จนไม่ต้องวาง

    ได้เห็นการคาย การคายกิเลส มีแค่ทางเดียวคือจิตเห็นความจริง ยอมรับความจริงอันเป็นสัจจะ ไม่ใช่โดยอำนาจใด แต่โดยอำนาจของสัจจะ เกิดนิพพิทาความสลดสังเวชใจในความหลงที่สะสมมา
     
  5. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +3,085
    เวลาอาราถนาศีล เราเห็นมีแสงมาล้อม เท่าที่เราสังเกตได้ประมาณ 48 นาที
    แต่ละคนคงไม่เหมือนกัน ตบะเดชะของ ศีล คงไม่เท่ากัน
    สังเกตว่า เวลามีศีล ธาตุก็มีกำลังด้วย
    ช่วงนี้รู้เลย ยังไงก็หนี ไวรัสไม่พ้น ต้องอารถนาศีล ให้ธาตุแข็งแรงไว้ตลอด
     
  6. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เราสมาทานศีลก่อนสวดมนต์ทุกคืน ทำอย่างนี้มานานแล้วค่ะ
     
  7. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    วางสมถะแล้วเดินปัญญาได้แล้วนะ:)
     
  8. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    สวัสดีวันพระ

    • นะโมข้าจะไหว้ วระไตรระตะนา
    ใส่ไว้ในเกษา วระบาทะมุนี

    • คุณะวระไตร ข้าใส่ไว้ในเกษี
    เดชะพระมุนี ขออย่ามีที่โทษา

    • ข้าขอยอชุลี ใส่เกษีไหว้บาทา
    พระเจ้าผู้กรุณา อยู่เกษาอย่ามีไภย

    • ข้าไหว้พระสะธรรม ที่ลึกล้ำคำภีร์ใน
    ได้ดูรู้เข้าใจ ขออย่าได้มีโรคา

    • ข้าไหว้พระภิกษุ ที่ได้ลุแก่โสดา
    ไหว้พระสกิทาคา อะระหาธิบดี

    • ข้าไหว้พระบิดา ไหว้บาทาพระชะนะนี
    ไหว้พระอาจารีย์ ใส่เกษีไหว้บาทา

    • ข้าไหว้พระครูเจ้า ครูผู้เฒ่าใส่เกษา
    ให้รู้ที่วิชา ไหว้บาทาที่พระครู

    • จะใคร่รู้ที่วิชา ขอเทวามาค้ำชู
    ที่ใดข้าไม่รู้ เล่าว่าดูรู้แลนา

    • ไชยโยขอเดชะ ชัยชะนะแก่มารา
    ระบือให้ลือชา เดชะสามาไชยโย

    • ไชยโยขอเดชะ ชัยชนะแก่โลโภ
    โทโสแลโมโห อย่าโลเลโจ้เจ้ใจ

    • กุมาระกุมารี ตะรุณีย์ที่เยาว์ไว
    จะฬ่อพอเข้าใจ ให้รู้จำคำวาที

    • ว่าไว้ใน ก กา ก ข ขา อา อิ อี
    ว่าไว้ในเท่านี้ ที่พอได้ใน ก กา

    • แต่พอให้รู้เล่า ที่ผู้เขลาเยาวะพา
    ได้ดูรู้แลนา กุมาราตะรุณี

    • จะใคร่ได้รู้ธำม์ ที่ลึกล้ำจำไว้ดี
    ได้แน่แต่เท่านี้ ดีจำเอาเบาใจครู

    • จะว่าแต่ฬ่อๆ ว่าแต่พอฬ่อใจดู
    ว่าไว้ได้พอรู้ ดูว่าเล่าเอาใจใส่
     
  9. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    #สัจธรรมจากเมล็ดข้าว

    ".. บรรดาลูกศิษย์ #หลวงปู่มั่น_ภูริทตฺโต
    ที่มีชื่อเสียง เป็นที่เคารพสักการะของผู้คน
    ทั้งประเทศ แทบทั้งหมดเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ตั้งแต่ยังหนุ่ม ไม่เคยผ่านชีวิตครอบครัว ยกเว้นก็แต่ #หลวงปู่ขาว_อนาลโย แห่งวัด
    ถ้ำกลองเพล จังหวัดอุดรธานี ท่านออกบวชเมื่ออายุ ๓๑ ปี หลังจากมีคู่ครองนาน ๑๑ ปี

    สาเหตุที่ท่านออกบวชก็เนื่องจากได้พบว่าภรรยามีชายอื่น เรื่องของเรื่องก็คือเดิมท่านมีอาชีพเป็นพ่อค้าขายวัวควาย คราวหนึ่งได้ต้อนวัวควายไปขายในที่ไกล แล้วหายไปนานไม่กลับบ้าน ภรรยานึกว่าท่านตายจากไปแล้ว จึงมีสามีใหม่ เมื่อท่านกลับมาและพบความจริงก็โกรธแค้นมาก ตั้งใจจะฆ่าทั้งสองคนให้ตายคามือ ถึงกับเงื้อมีดดาบเตรียมสังหารแล้ว แต่ห้ามใจไว้ได้ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ท่านสลดสังเวชใจ เบื่อหน่ายชีวิตทางโลก จึงสละเพศฆราวาสในที่สุด.. "

    "ช่วง ๖ พรรษาแรก ท่านตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยอย่างจริงจัง แต่ก็รู้สึกขัดใจที่ครูบาอาจารย์และเพื่อนภิกษุสามเณรประพฤติย่อหย่อน อีกทั้งยังเพลิดเพลินในลาภสักการะ ท่านจึงตัดสินใจออกธุดงค์เพื่อบำเพ็ญกรรมฐาน แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านทั้งจากพระเณรและฆราวาส บ้างก็ว่าการบำเพ็ญภาวนาทำให้คนเป็นบ้า ถ้าอยากเป็นคนดีเหมือนชาวบ้านเขา ก็ไม่ควรออกไปบำเพ็ญภาวนา บ้างก็ว่าพระธุดงค์ที่ดำเนินตามคำสอนของพระพุทธองค์ทุกวันนี้ไม่มีแล้ว อย่าไปทำให้เสียเวลาและเหนื่อยเปล่าเลย สู้อยู่อย่างนี้ก็สบายดีอยู่แล้ว แม้กระนั้นท่านก็ยังยืนยันเจตนาเดิม.. "

    ระหว่างที่ออกธุดงค์ ท่านได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่มั่นภูริทตฺโต จึงได้ออกติดตามค้นหาจนได้พบพระอาจารย์ใหญ่ที่อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ และได้อยู่ปฏิบัติกับท่านสมความตั้งใจ ท่านได้ทำความเพียรอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันก็ถูกเคี่ยวกรำจากหลวงปู่มั่นอย่างหนัก จนการปฏิบัติเจริญก้าวหน้า คราวหนึ่งหลวงปู่มั่นได้ทักท่านว่า “ท่านขาวนี้ภาวนาอย่างไร คืนนี้จิตจึงสว่างไสวมาก ผิดกับที่เคยเป็นมาทุก ๆ คืน นับแต่มาอยู่กับผม ต้องอย่างนี้ซิจึงสมกับผู้มาแสวงธรรม”

    บางช่วงท่านได้แยกจากครูบาอาจารย์และหมู่คณะออกธุดงค์ บำเพ็ญเพียรในป่า ซึ่งสมัยนั้นยังรกทึบเต็มไปด้วยอันตราย หลายครั้งท่านต้องเผชิญสัตว์ป่าที่ดุร้าย รวมทั้งช้างป่าที่ไม่เป็นมิตรกับคน แต่ด้วยเมตตาและสติที่ตั้งมั่น ท่านจึงผ่านพ้นเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยดี บางครั้งท่านถึงกับชวนช้างรับศีล ซึ่งช้างก็ดูเหมือนจะรับรู้คำสอนของท่านและเชื่อฟังท่านโดยดุษณี มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับประสบการณ์ของท่านในป่าลึกที่กล่าวขานในหมู่ศิษย์กระทั่งทุกวันนี้

    นอกจากสัตว์ร้ายแล้ว โรคภัยไข้เจ็บมักเกิดกับพระธุดงค์ในป่าลึกเสมอ แต่ทุกครั้งที่ป่วยไข้ หลวงปู่ขาวนิยมใช้ธรรมโอสถเป็นสำคัญ ท่านเคยระงับไข้ด้วยสมาธิภาวนาหลายครั้ง ใช่แต่เท่านั้น ท่านยังอาศัยความเจ็บไข้เป็นประโยชน์ในการภาวนาด้วย คราวหนึ่งท่านเป็นไข้มาลาเรียเกือบตลอดพรรษา แต่ท่านไม่ยอมแพ้ต่อความเจ็บป่วยเลย กลับระดมความเพียรเต็มที่ ท่านเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า

    “ไข้ก็หนัก ความเพียรก็เอาการ ไม่มีใครย่อหย่อนอ่อนข้อต่อใคร การไข้ก็ไข้ตลอดพรรษา การพิจารณาทุกขเวทนากับกายอันเป็นเรือนรังของทุกข์ ก็ไม่ลดละท้อถ้อย ไข้หนัก ทุกข์มากเท่าไร ยิ่งราวกับไสเชื้อเพลิงป้อนสติปัญญาให้แสดงลวดลายอย่างเต็มฝีมือ” พอออกพรรษาไข้ก็ค่อย ๆ หายไปเอง

    ประสบการณ์อันช่ำชองในการรับมือกับความเจ็บป่วย ทำให้ท่านได้ข้อสรุปว่า “อันความอยากหายจากทุกขเวทนานั้น อย่าอยาก ยิ่งอยากให้หายเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มสมุทัยตัวผลิตทุกข์มากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ให้อยากรู้อยากเห็นความจริงของทุกขเวทนาที่แสดงอยู่กับกายกับใจเท่านั้น นั่นคือความอยากอันเป็นมรรคทางเหยียบย่ำกิเลส ซึ่งจะทำให้เกิดผล คือการเห็นแจ้งตามความจริงของกาย เวทนา จิตที่กำลังพิจารณาอยู่ในขณะนั้น ความอยากรู้จริงเห็นจริงนี้มีมากเท่าไร ความเพียรพยายามทุกด้านยิ่งมีกำลังมากเท่านั้น.. ”

    ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๓ ตอนนั้นหลวงปู่ขาวมีอายุ ๕๒ ปีแล้ว ระหว่างพำนักที่บ้านโหล่งขอด อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เย็นวันหนึ่งท่านได้ออกไปสรงน้ำ เหลือบมองเห็นรวงข้าวในไร่ชาวเขากำลังสุกเหลืองอร่าม เกิดมีคำถามขึ้นมาในใจว่า “ข้าวมันงอกขึ้นมาเพราะมีอะไรเป็นเชื้อพาให้เกิด ใจที่พาให้เกิดตายอยู่ไม่หยุด ก็น่าจะมีอะไรเป็นเชื้ออยู่ภายในเช่นเดียวกันกับเมล็ดข้าว”

    ท่านคิดต่อว่า เชื้อนั้นถ้าไม่ถูกทำลายที่ใจให้สิ้นไป ก็จะต้องพาให้เกิดและตายไม่หยุด ท่านพิจารณาต่อก็พบว่า “อะไรเป็นเชื้อของใจเล่า ถ้าไม่ใช่กิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน”

    จากนั้นท่านก็พิจารณาทบทวนไปมาโดยมีจุดเน้นที่ตัวอวิชชา เป็นการพิจารณาทั้งอนุโลมและปฏิโลม จากเหตุสู่ผล และย้อนจากผลไปหาเหตุ ตั้งแต่หัวค่ำจนดึก ท่านก็ยังไม่ลดละการพิจารณา จนใกล้ฟ้าสางจึงเห็นแจ้งในธรรมชาติหรือความจริงแห่งอวิชชา วินาทีนั้นเองอวิชชาก็หลุดไปจากใจจนไม่เหลือ ข้าวสุกย่อมมิอาจงอกได้อีกต่อไปฉันใด เมื่อพิจารณาจิตจนอวิชชาดับ กลายเป็นจิตสุก การก่อเกิดในภพต่าง ๆ ก็จบสิ้นฉันนั้น

    #หลวงตามหาบัว_ญาณสมฺปนฺโน เล่าถึงประสบการณ์ของหลวงปู่ขาวตอนนี้ว่า “ขณะ
    ที่จิตผ่านดงหนาป่ากิเลสวัฏฏ์ไปได้แล้ว เกิดความอัศจรรย์อยู่คนเดียว ตอนสว่างพระอาทิตย์ก็เริ่มสว่างบนฟ้า ใจก็เริ่มสว่างจากอวิชชา ขึ้นสู่ธรรมอัศจรรย์ ถึงวิมุตติหลุดพ้นในเวลาเดียวกันกับพระอาทิตย์อุทัย ช่างเป็นฤกษ์งามยามวิเศษจริง ๆ”

    “นั่งอยู่ก็สบาย แม้ตายก็มีความสุข ปราศจากเครื่องร้อยรัดโดยประการทั้งปวง” คือคำอุทานในใจของหลวงปู่ขณะนั้น เมื่อกิจส่วนตนจบสิ้นแล้ว หลวงปู่ก็เหลือแต่กิจส่วนรวม

    ท่านได้เทศนาสั่งสอนพระเณรและญาติโยมอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ขณะเดียวก็ยังคงใช้ชีวิตเยี่ยงพระธุดงคกรรมฐาน จนกระทั่งพบถ้ำกลองเพลในเทือกเขาภูพาน ท่านเห็นว่าเป็นสถานที่วิเวกถูกอัธยาศัย จึงได้ปักหลักที่นั่นเรื่อยมาจนวาระสุดท้ายของท่าน.. "
    ———
    หลวงปู่ขาวละสังขารเมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๒๖ หลังจากอัมพาตเป็นเวลา ๙ ปี และมีอาพาธต่อเนื่องในช่วง ๒ ปีหลัง คืนสุดท้ายของหลวงปู่ขาว ท่านจำวัดเป็นปกติ เช้ามืด
    เมื่อล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ท่านฉันอาหารเล็กน้อย จากนั้นพระเณรพยุงท่านเดินไปถึงเตียงเพื่อนอนพัก หลวงปู่ลงนั่งแล้วก็นอนลง แล้วก็หยุดหายใจ เป็นการทิ้งสังขารที่ “ง่าย สบาย” ดังคำของหมออวย เกตุสิงห์ แพทย์ประจำตัวของท่าน สิริอายุของหลวงปู่ขาว อนาลโยรวม ๙๕ ปี..

    #จากหนังสือลำธารริมลานธรรม
    #เขียนโดยพระไพศาล_วิสาโล
    ******************************
    #ภาพ:: หลวงปู่เจี๊ยะเยี่ยมอาพาธหลวงปู่ขาว
    อนาลโย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    #ที่สุดแห่งความตายคืออะไร

    สอนใครไม่ได้หรอกบอกไม่สน
    กรรมของตนทำไปไร้ทิศหนี
    ดีชั่วนำกระหน่ำมาทันที
    ยากจะมีใครพ้นกฎของมัน

    เลือกประมาทชาตินี้เห็นทีหยาบ
    ไม่ละบาปซ้ำซากวิบากสรร
    อำนาจหลงมายาสารพัน
    กิเลสวันตายลงคงรับกรรม.

    กวีธรรมญาณ
    (๙๗๑)

    ขออนุญาตขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต

    ความหมาย...

    อาจาริโยวาทเกี่ยวกับความตาย

    ๑. ผู้มีโภคทรัพย์ภายนอก มัวแต่หวงไว้ ไม่ใช้เพื่อประโยชน์แก่ตนและแก่ผู้อื่นตามสมควร ก็ทำทรัพย์ให้ไม่มีประโยชน์เหมือนเศษดิน ในที่สุดก็ต้องละทรัพย์นั้นไปด้วยความตาย

    (สมเด็จพระสังฆราช กรมหลวงวชิรญาณวงศ์)



    ๒. ถ้าใครกลัวตายเสียดายทุกข์ ชอบถือเอาความสนุกในการเกิดว่าเลิศเลอ ผู้นั้นต้องจัดว่าลืมตัวมัวประมาท และชอบผัดเพี้ยนเลื่อนเวลา ว่า เช้า สาย บ่าย เย็น ไม่อยากบำเพ็ญความดีสำหรับตน ในเวลาที่มีฐานะพอทำได้อยู่ ความประมาทยังจะพาให้หลั่งน้ำตาด้วยความทุกข์ในสงสาร ไม่อาจประมาณได้ว่า ยังอีกนานเท่าไหร่จึงจะผ่านพ้นแหล่งกันดารอันเป็นที่ทรมานไปได้

    (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)

    ๓. “ ความเกิดมีแล้ว ความแก่ ความตายมันก็มีอยู่ ไม่มีใครพ้นตาย ตายก็ตายเต็มแผ่นดินอยู่ เกิดก็เกิดเต็มแผ่นดิน เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอยู่นี้แหละ สัจจธรรมข้อนี้ใคร ๆ ก็พ้นไปไม่ได้ นั่งอยู่ก็ตาย นอนอยู่ก็ตาย กินอยู่ก็ตาย ไม่กินก็ตาย เจ็บป่วยก็ตายได้ ไม่เจ็บป่วยก็ตายได้ ความตายมีอยู่ทุกฐานะสถานที่ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันครอบงำเราอยู่ทุกเมื่อ

    เราต้องหาที่พึ่งอันประเสริฐไว้เสียแต่บัดนี้ แต่ยังมีชีวิตอยู่อย่างนี้ ยังแข็งแรงอยู่อย่างนี้ ถ้าร่างกาย จิตใจมันไม่อำนวย แล้วจะไม่คิดถึงอะไร จะไปยึดไปถือเอาอะไร เป็นที่พึ่งมันยาก ”

    (หลวงปู่แหวน สุจิณโณ)



    ๔. แท้ที่จริง จิต วิญญาณ มันมิใช่ของแตกของทำลาย แลไม่ใช่ของสูญหาย .. ดังนั้น ใครอยากสวย ให้รักษาศีล อยากรวยให้ทำทาน อยากปัญญาชาญให้ภาวนา

    (หลวงปู่ฝั้น อาจาโร)



    ๕. เราเกิดขึ้นมากี่ภพกี่ชาติ ก็มาหัดสติตัวเดียวนี้ แต่ไม่สมบูรณ์กันสักที เหตุนั้นควรที่พวกเราจะพากันรีบฝึกหัดสติแต่บัดนี้ เราจวนจะตายอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าจะตายวันไหน ควรที่จะฝึกหัดสติให้อยู่ในเงื้อมมือของตนให้ได้ อย่าให้จิตไปอยู่ในเงื้อมมือของความหลงมัวเมา ผู้ใดจิตไม่อยู่ในอำนาจของตนก็ได้ชื่อว่า เราเกิดมาเสียเปล่า ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเสียเปล่า ตายไปก็เปล่าจากประโยชน์

    (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

    ๖.. เมื่อเราเกิดมา ก็คือ เราตาย นั่นเอง ความแก่กับความตายมันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละเหมือนกับต้นไม้ เมื่อมีโคน มันก็มีปลาย เมื่อมีปลายมันก็มีโคน ไม่มีโคน ปลายก็ไม่มี มีแต่ปลาย โคนก็มีไม่ได้ ดังนั้น เกิดนั่นแหละคือตาย ตายนั้นละคือเกิด

    (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)



    ๗. เวลามีชีวิตอยู่ เราพึ่งอะไร เวลาตายไปเราจะพึ่งอะไร เวลาตายไปโลกหน้าไม่มีการทำไร่ ทำนา หรือว่าทำไร่ ทำสวน ซื้อถูก ขายแพง แต่อาศัยคุณงามความดีที่สร้างไว้ เป็นอาหารทิพย์ เป็นเครื่องเสวย นั่นแหละให้เราสร้างเอาไว้ นั่นแหละเป็นแก้วสารพัดนึกอย่างหนึ่ง และเป็นคู่พึ่งเป็นพึ่งตนหนึ่งพึ่งไปตลอดจนถึงอวสาน ได้ถึงนิพพาน ก็เป็นอันว่าหมดปัญหา เป็นผู้พึ่งตัวเองได้โดยสมบูรณ์

    (หลวงปู่มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
    #เครดิต_กวี_ธรรมญาณ
     

แชร์หน้านี้

Loading...