สารพันปัญหา ตอบโดยคุณ nopphakan

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย รูปติดบัตร, 26 พฤศจิกายน 2016.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ถ้าเข้าใจว่าสายธรรมชาติก็ถูกแล้วนะครับ
    เด่วจะขยายความให้ฟัง สายธรรมชาติ...
    คืออย่างนี้ คือที่เราค่อยๆฝึก ค่อยๆเป็นไปเนี่ย
    มันก็คือการ ค่อยๆทำให้จิตเรามันย้อนหวลคืนสู่
    สภาวะเดิมแท้ของจิตเราเองนั่นหละ
    สภาวะเดิมแท้ ก็คือ สภาวะที่จิตมันไม่มีอะไร
    มาเกาะ มาปรุงแต่งกับจิตเรา
    หรือจิตเราไม่ส่งตัววิญญานออกไปเชื่อม
    ไปรับเอาอะไรเข้ามาปรุงแต่ง ไม่ว่าจากอายตนะใดๆก็ตามนั้นเอง
    ที่นี้สภาวะเดิมแท้ของจิตแต่ละคน
    มันจะมีเนื้อหาของจิตดวงนั้นๆแตกต่างกันไป
    ตามแต่บารมีที่ได้เคยสะสมมา
    เช่น บางคนมาด้านพิเศษโน้นนั้นนี่ ก็จะเด่นไปด้านพิเศษโน้นนี่นั่น
    ซึ่งก็แล้วแต่ว่า จะสะสมบารมีทางด้านใด..
    อย่าง คนโง่ไง่ เนาะ มีบารมีทางด้าน
    การใช้สัมผัสภายในแล้วไปหนุนส่ง
    ให้เกิดเป็นปัญญาทางธรรมเพื่อการหลุดพ้น
    ควบคู่กันมาก่อนเจาะ...
    ทุกกิริยา หรือว่าการปฏิบัติกรรมฐานอะไรก็แล้วแต่
    และทุกรายละเอียดย่อยของการปฏิบัติ..
    มันก็จะเป็นไปเพื่อหนุนให้จิตคลายตัว
    เพื่อที่สร้างให้เกิดสัมผัสภายในที่ดี..
    สำหรับการไปหนุนให้เกิดเป็น
    ปัญญาทางธรรมนั่นหละ..
    ถ้าคนที่จริตไปทางใช้ความสามารถด้านอื่นๆ
    เค้าก็จะสนแต่แนวการปฏิบัติที่ไปหนุนความ
    สามารถนั้นๆให้ดีขึ้น...
    เข้าใจว่า คงจะพอนึกภาพออกเหตุ
    มันก็เป็นประมาณที่เล่าให้ฟังมาก่อนหน้านั่นหละ
    พอจะเริ่มเข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็นทุกวันนี้ได้มากขึ้นเนาะ...

    ปล ส่วนช่องว่างระหว่างก่อนดับมันจะช่วยหนุน
    ให้จิตคลายตัวได้จากปัญญาที่จิตได้รู้ ได้เข้าใจ
    ณ เวลานั้นๆ ซึ่งมันจะค่อยๆไปหนุนให้จิต
    คล่อยๆคลายตัวได้มากขึ้นเรื่อยๆบ่อยๆขึ้นคือค่อยๆขยาย
    ออกไปได้กว้างมากขึ้นเรื่อยตามวาระของมัน
    ท้ายสุดก็เพื่อไปสู่สภาวะเดิมแท้ของจิต
    และจิตก็จะค่อยๆเป็นไปตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิต
    ที่มันได้เคยสะสมบารมีมานั่นเอง
    เข้าใจเนาะ (^_^)
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ให้นึกๆไว้ประมาณว่า สอบได้เรื่องตลก
    สอบตกเรื่องธรรมดา...
    ปล คนนะไม่ใช่ซุบเปอร์แมน ๕๕๕...
     
  3. รูปติดบัตร

    รูปติดบัตร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2016
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +366
    ขอบคุณๆนพที่แนะนำครับ ก็คงต้องปล่อยไปทีละนิด แต่ก็เป็นการปล่อยตามความคิดของผมนะครับ ไม่รู้เข้าหลักวิชาหรือเปล่า

    1. ด้านเรื่องส่วนตัวก็ปล่อยไปหลายๆอย่าง
    2. ในเว็บนี้ก็ปล่อยไปเหลือไว้นิดหน่อย มีความคิดว่าจะไม่สร้างความยุ่งยากให้ใคร ถ้ามีบ้างก็ขอเคลียร์ ก่อนมาเขียนนี่ก็เข้าไปลบคำถามที่ถามท่านผู้หนึ่งออก ไม่อยากให้ใครลำบากใจ

    สำหรับกระทู้นี้ ก็ปลื้มใจที่คุณนพได้สร้างคุณประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็ขอเรียนว่า ผมจะไม่ทำให้กระทู้นี้เสียหาย แต่ถ้ากระทู้หล่นไปไกล ก็ขออนุญาตอัพขึ้นมาบางครั้งบางคราว เมื่อกระทู้ขึ้นแล้วก็จะลบที่อัพทิ้งนะครับ ก่อนมานี่ได้ปรับปรุงหน้า1ให้ดูง่ายขึ้น โดยลบในส่วนของผมที่ตกค้างออก

    3. ในด้านเกี่ยวกับท่านๆในโลกทิพย์ ยังไปเรื่อยๆก่อน เพราะความรู้สึกเหมือนกับเป็นที่นับถือ เป็นมิตรกัน และผมเองก็ไม่ได้เกิดความยุ่งยากอะไรนัก

    ก็รู้สึกว่ากระทู้จะเริ่มเป็นที่รู้จักแล้ว ผมก็คงไม่มาเขียนให้เปลืองเนื้อที่ ก็เห็นคุณค่าในการตอบปัญหาของคุณนพ ผมจึงได้คิดการกระทำเช่นนี้ และในเว็บนี้ก็ไม่มีท่านใดตอบเป็นกิจลักษณะมากนัก หลังจากโพสต์นี้ผมคงไม่ค่อยเข้ามาเขียนอีกครับ ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2019
  4. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ขอบคุณมากครับท่านนพ ชัดเจนเลยครับ
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ขอบคุณเช่นกันสำหรับ เจตนาที่ดีที่ผ่านมาเช่นกันครับ
    หวังว่าอนาคตจะมีโอกาสได้พบเจอตัวกันเป็นๆนะครับ
     
  6. Gobshite

    Gobshite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +118
    พี่นพครับผมอยากจะห้อยพระ1องค์ ผม1องค์เเม่1องค์ เพื่อเป็นเครื่องเหนี่ยวและเครื่องเตือนให้มีสติอยู่เสมอ ขอรบกวนพี่นพด้วยครับ เพราะตอนนี้ใจอยากไปห้อยอย่างอื่นซะเหลือเกิ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2016
  7. Gobshite

    Gobshite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +118
    ผมอยากจะถามเรื่องบังสกุลเป้นสกุลตายด้วยครับ
    เห็นมีคนเคยเเนะนำให้ไปทำ ในทางภพภูมินี่มีผลอย่างไรรึป่าวครับ
    หรือเป็นกุศโลบายเฉยๆ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    พระที่ควรสำหรับ Johh ก่อนหน้าจริงๆคือ ปล. ทวด
    แต่ว่าตอนนี้ห้อยลป.เทพโลกอุดร จะครอบคลุม
    ในลักษณะที่จะตรงจริต จะมีองค์เดียวหละ
    ที่เราจะเห็นท่านในท่านั่งสมาธินะ ไม่ใช่องค์ที่จับหัวเข่านะ
    ส่วนคุณแม่ห้อยพระพุทธอะไรก็ได้ ที่อยู่ในท่านั่งสมาธิ
    แล้วมีพยานาคด้วยข้างบน น่าจะเรียกว่าพระนาคปรก...

    ส่วนพิธีบังสกุล ทางนามธรรมเท่าที่ทราบแบบหยาบๆมันเป็นอย่างนี้..
    ปกติคนเรามักจะมีวิบากที่จรเข้ามา วิบากก็คือกระแส
    อย่างหนึ่ง ที่มันเวียนเข้ามาเรื่อยๆ เรารู้จักกันในนามว่า วิบากกรรม
    บ้างก็เรียก กรรมเก่าส่งผล โดยมากเราจะใช้การสร้างความดี
    การใช้บุญกุศลในการ ทำให้วิบากตรงนี้ของเรามันคลาย
    ปกติจะคลาย ถ้าทำบุญแล้วไม่คลาย ก็มักจะใช้การยอมชดใช้
    หรือที่เรียกกันว่า ยอมรับตามความเป็นจริง
    เพื่อให้วิบากค่อยคลาย จนหมดวิบากตัวนั้นๆไป
    ปกติจะเป็นอย่างที่บอกสำหรับ
    นักปฏิบัติหรือคนที่พอปฎิบัติได้นะ...

    แต่สำหรับพิธีนั้นจะเป็นการทำให้จิต คลายตัวก่อนและ
    มีกิริยาในการทิ้งร่างกายที่อาศัยอยู่ และกระแสจิตถูกดึง
    และขึ้นไปผูกกับครูบาร์อาจารย์ข้างบน เหมือนกับว่า
    จิตทิ้งกายไปอยู่กับข้างบนแล้วนะ ก็เสมือนมีบารมีข้างบน
    ท่านคอยปกป้อง ดังนั้นวิบากต่างๆ ที่เข้ามาตอนนั้น
    ก็จะคลายตัวเองโดยธรรมชาติ เพราะเกรงหรือเคารพ
    ในบารมีของครูบาร์อาจารย์ข้างบนนั้นเอง
    คล้ายๆเรากำลังตามหาอริเก่าเราเพื่อล้างแค้น
    แต่ว่าเราดันมาเจออริเก่าเรานี้ ตอนที่กำลังจะบวชพอดี
    พอเห็นว่าอริเก่าเรานี้ กำลังจะบวชแระ เราก็เอ่ยไม่เป็นไร
    แล้วๆไปเนาะ เราก็จะลืมความขัดแย้งที่เคยมีมา และเลิกตามหา
    เพราะไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว
    เราก็จะไม่คิดมาตาม คิดมาล้างแค้นอะไรอีก
    หรือคล้ายๆเราตามเจอดันเห็นอริเก่า ตายซะแระ
    และก็มีครูบาร์อาจารย์มารับไปด้วยเหมือนๆกัน
    เราก็เลยแบบว่า ที่แล้วมาก็แล้วไป..
    ประมาณนี้หละ
     
  9. Gobshite

    Gobshite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +118
    เมื่อคืนตอนสวดมนต์เหมือนจะพึ่งเห็นพลังงานของท่าน (ลป เทพ)อ่อนๆเพราะจิตผมไม่ถึง ที่หน้าหิ้งพระอยู่เลยครับ

    แล้วอย่างที่นี้ตัววิบากหนักยังไงเราก็ต้องยอมชดใช้อยุ่ดีใช่ไหมครับ เมื่อเรายอมรับตามความเป็นจริง = เราอโหสิกรรม อย่างนี้ผมเข้าใจถูกไหมครับ
     
  10. Gobshite

    Gobshite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +118
    พี่นพครับผมอยากทราบกลไล
    ของจิต ว่าทำไมบางคนถูกพวกไสยอวิชชาหรือสัมภเวสีตามได้
    ในเมื่อก็บางท่านก็ยังทำบุญ กับพระสุปฏิปันโน ถือสัจจะ ทำในสิ่งที่ถูกมาเสมอ นี่เป็นเรื่องของวิบากด้วยหรือเปล่าครับ เราสามารถจัดการกับกลไกตรงนี้ได้อย่างไรครับ ถามเพื่แเป็นวิทยาทานนะครับ คิดว่าคนใกล้ตัวก็อาจจะโดนเรื่องพวกนี้อยู่ ทั้งๆที่ปฏิบัติดีซื่อตรงมาตลอด ความดีกับบุญไม่สามารถกันสิ่งเหล่านี้ได้เลยหรอครับ ทางแก้คือการถือศีลภาวนาหรือเปล่าครับ
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    อโหสิคือ คลายๆคลายวิบากซึ่งกันและกัน
    คลายความคิดนั่นหละ ยอมรับตามความจริง
    ก็คือยอมรับวิบากที่เกิดขึ้น เช่นะยกตัวอย่าง
    เราไปเตะสุนัขเข้า ก็ต้องทำใจไว้ว่า มันจะ
    มีโอกาสที่จะกัดเราเข้าซักวันหนึ่ง..
    ส่วนวิบากอะไรก็ตาม อย่างที่บอกเราแก้ด้วยการ
    สร้างความดี และไม่ต้องไม่ คิด ระลึก ปรุง นึกขึ้นมาทุกๆกรณี
    ส่วนการยอมรับตามความเป็นจริง เป็น
    กรณีที่หนุนให้จิตเกิดเป็นปัญญาทางธรรม
    เพื่อละ คลายในเรื่องนั้นๆ โดยความรวมคือ
    ไม่ต้อง คิด ระลึก นึกขึ้น ปรุงเรื่องในอดีตทั้งหมด
    ส่วนการยอมรับตามความเป็นจริงด้วยใจเป็นกลาง
    แม้อาจมีการพิจารณาตรงนี้ เป็นสภาวะ ณ เวลานั้นๆ
    ปล อยากรู้อะไรให้มาดูที่ใจตัวเอง.....(^_^)
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ตัววิญญานการรับรู้นั่นหละ เป็นช่องที่ทำให้ภายนอกต่างๆเข้ามาได้
    โดยมากมักจะเกิดจากตัวจิตเราเอง ที่ส่งตัวนี้ออกไปแล้ว
    ไปดึงเข้ามาปรุงแต่งเด่วจะยกตัวอย่างให้พอเห็นกลไกลการทำงานนะ
    ตัวอย่างแรกเป็นกลไกลจากภายใน เช่น ตาเห็นรถคันหนึ่งสีแดง ตัววิญญาน
    รับรู้ส่งผ่านทางตาออกไปเห็นรถ และรู้ด้วยสัญญาความจำได้ว่า
    รถสีแบบนี้เรียกว่าสีแดง อาจจะรู้ยี่ห้อด้วย ก็จะมีตัวปรุงแต่งต่อว่า
    สีนี้ไม่ชอบ(ปรุงแระ)เราชอบสีดำ(ปรุงเพิ่ม) ปรุงขึ้นทำให้รู้สึกว่า
    ชอบไม่ชอบอีก นี่คือตัวอย่าง ที่มาจากภายใน..
    ที่นี้ตัวอย่างจากภายนอก เช่น เรานั่งอยู่เฉยๆแล้วมีลมเย็นมากระทบ...
    เรารู้ว่าเป็นลมเพราะสัญญาความจำได้ จากการที่มันมากระทบกายเรา
    และเราก็รู้สึกว่าเย็นจากการปรุงแต่งให้รู้สึกว่าหนาว ที่นี้เราอาจจะรู้สึกชอบ
    (นี่ก็ปรุง) ถ้าไม่ชอบ(นี่ก็ปรุงอีก) เราจะเห็นได้ว่า แท้จริงแล้วเรื่องพวกนี้มัน
    อยู่กับเรามาตั้งแต่เกิด จนเรารู้สึกว่ามันเป็นปกติธรรมดา
    จนกว่าเราจะได้มาเจริญสติในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างสติทางธรรม
    เราถึงจะเริ่มพอมองเห็นกระบวณการทำงานมันได้
    พวกนี้หละที่เราเรียกว่า ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม หรือจะเรียกกรรมเก่า
    เรียกวิบาก เรียกว่ากระแสจร(คือมีเข้ามาเรื่อยๆ)ก็ได้หมด
    เพราะในทางกิริยามันทำงานเหมือนๆกัน
    และพวกนี้หละที่เป็นตัวขวางการคลายตัวของจิตเรา
    ทางพุทธเราเข้าใจตรงนี้ ถึงได้เกิดเป็นขั้นตอนที่
    เราเรียกว่า การเดินปัญญา ก็เพื่อที่จะไปตัดขั้นตอน
    การทำงานของขันธ์ ๕ นามธรรมตรงนี้..
    เนื่องจากว่า จิตโดยปกติ มันมีนิสัยส่งตัววิญญานออกไปข้างนอก
    อยู่แล้วเป็นปกติ ตัวปัญญาทางธรรมนั้น ที่ได้จากการรู้เห็นตามความ
    เป็นจริง สร้างกระบวนการให้จิตได้เกิดปัญญาเพื่อที่จะ ลด ละ คลาย
    การทำงานของกลไลตรงนี้ ที่เค้าเรียกกันว่า ไม่ยึด ให้วางนั่นหละ
    แต่มันได้มาจากกระบวนที่จิตเกิดปัญญา แล้วตัวปัญญามันไปตัด
    พวกขันธ์ ๕ นามธรรมเหล่านี้ออก จิตเลยไม่ยึด และคลายเรื่องพวกนี้ได้

    อ่านดีๆนะ ในทำนองเดียวกันเราก็มักจะไปมองตรงนี้ว่ามันคือวิบากกรรม
    ถ้า Johh ลองสังเกตุกลไกลการทำงานของมันดูจะพบว่า ไอ้คำว่าวิบาก
    กรรม มันก็มีกระบวณการทำงานคล้ายๆอย่างที่เล่าให้ฟังมา..
    เริ่มจาก การที่เราระลึกมันขึ้นมาได้ การที่นึกขึ้นได้ มันก็คือ
    การที่ตัววิญญานการรับรู้เราไปดึงไปรับมันเข้ามานั่นเอง..
    ซึ่งโดยมาก็เป็นเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาแล้วทั้งนั้น(สัญญา)
    และมันก็ปรุงแต่งไปโน้นนั้นนี้(สังขาร)จนทำให้เรารู้สึก
    โน้นนั่นนี่(เวทนา)ถ้าสุขก็เป็นสุขเวทนา ถ้าทุกขก็ทุกข์เวทนา
    ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า แม้ว่าจะเป็นสุขเวทนา
    มันก็ยังอยู่ในกระบวณการที่มีตัววิญญานนี้เข้าไปปรุงร่วมทั้งสิ้น
    ไม่แตกต่างกันเลย แต่เรามักไม่ให้ความสำคัญถ้ามันเป็นสุขเวทนา
    ทั้งๆที่มันก็ปรุงแต่งอยู่ แต่เราจะไปใส่ใจกับกรณีที่ทำให้เกิดทุกข์เวทนาแทน
    ซึ่งมันก็ปรุงแต่งเหมือนกับสุขเวทนานั่นเอง....
    ปัญญาทางธรรมที่จะไปรู้ตรงนี้ ว่ามันเกิดเพราะอะไร สาเหตุเพราะอะไร
    จึงเป็นกระบวนการที่สำคัญ เพราะโดยมากเราจะรู้เมื่อมันเกิดแล้ว
    และเราจะรู้เมื่อมันหายไปแล้วแต่เราไม่รู้ว่า มันเกิดและมันหาย(ดับ)ไปตอนไหน
    ซึ่งกระบวณการตรงเกิดและดับตรงนี้นี่หละ
    ที่เราจะรู้ได้ จากกำลังสติทางธรรมที่เราได้สร้างขึ้นมา...
    เราไม่สามารถหลีกเปลี่ยว การรับรู้อะไรอย่างนี้ได้
    ไม่ว่าเหตุจะเกิดจากภายนอกหรือภายใน
    ตราบที่เรา ได้เห็นได้ ได้ยินได้ อ่านได้ สัมผัสทางกายต่างๆได้
    จึงได้เกิดเป็นกรับวนการต่างๆ เพื่อเป้าหมายเดียวกันถ้าเราสั่งเกตุ
    ก็คือ การตัดตัววิญญานรับรู้ตั้งแต่เริ่มต้น
    จะเป็นการตัดกระบวณการในการปรุงแต่ง
    เรียกได้ว่าเราตัดวงโคจรของกลไกปรุงแต่งตรงนี้นั่นหละ

    และทำอย่างไร พุทธศาสนา ก้าวล้ำศาสนาอื่นๆมาเรื่องหนึ่ง
    ก็คือมีเรื่อง ปัญญา เข้ามาเกี่ยวข้อง
    แต่กลไกลทางปัญญามันจะต้องอาศัยการรู้เห็นตามความเป็นจริง
    ด้วยความเปนกลางมันถึงจะเกิดได้ ด้วยเครื่องมือ ก็คือสติทางธรรม
    ในการเข้าไปช่วย
    ความคุม ความคิด ควบคุมพฤติกรรมของจิต จนจิตเข้าสู่สภาวะ
    ที่เป็นกลาง แล้วปล่อยให้จิตรับรู้ไปตามความเป็นจริง เช่น
    ร้อนก็รู้สึกว่าร้อน เย็นก็รู้สึกว่าเย็น แต่ไม่ไปปรุงว่า ไม่ชอบร้อน ไม่ชอบเย็น
    พอมองภาพออกไหม นี่คือตามความเป็นจริง
    เรื่องอื่นๆก็คล้ายๆกัน....
    และมันเกี่ยวอะไรกับพิธีกรรมต่างๆที่เคยมีมาหละ..ถามว่า
    พิธีกรรมต่างๆช่วยได้ไหม ตอบว่าช่วยได้ แต่แบบช่วยคราว
    เข้าไปช่วยตรงไหน ก็เข้าไปตัดขั้นตอนของตัวกลไกลการ
    ทำงานของตัววิญญานการรับรู้ให้ออกไปก่อนชั่วคราวนั่นหละครับ...
    แต่เราก็ต้องรู้ว่า การตัดวงจรแบบชั่วคราวได้
    แม้จะทำได้จริง แต่ว่าไม่ได้สร้างให้เกิดปัญญานะ
    เพราะจะเกิดปัญญาได้ ต้องผ่านกระบวนการรรู้เห็น
    ตามความเป็นจริงด้วยความเป็นกลาง...

    จึงได้เกิดเป็นพิธีกรรมต่างๆขึ้นมากมาย..
    เราจะพบว่า พิธีกรรมแม้เป็นกระบวณการ
    ตัดวงจรวิญญาณได้ แต่ไม่ได้สร้างให้เกิดปัญญา
    เข้าใจว่า ทางพุทธเราาเข้าใจตรงนี้ดี..
    เราจึงได้ยิน คำว่า ปัญญา เพิ่มเข้ามาในทางพุทธศาสนานั่นเอง.....

    แล้วในทางปฏิบัติหละครับ เราสามารถบอกให้ทุกคนเข้าใจ
    ได้ไหมว่า ปัญญามันคืออะไร? มันมีประโยชน์อะไร
    แม้แต่นักปฏิบัติต่างๆที่เข้าใจตัวเองว่าตัวเองรู้จักคำว่าปัญญา
    โดยเนื้อแท้แล้ว ก็ยังหาคนที่จะเข้าใจกลไกการทำงานของมันได้
    แถมยังคิดว่า ปัญญาที่ตนได้รู้ ได้ยินมา คือที่สุด เชื่อว่าคือที่สุด
    แต่ก็เชื่อๆไปอย่างนั้น แต่ไม่เข้าใจกิริยา ไม่เข้าใจกลไกของมัน...

    ในชีวิตประจำวันเราจึงได้พบได้เห็นบุคคลประเภทที่คิดว่า
    ตนมีปัญญามาก แต่ไม่รู้ไม่เข้าใจกลไกลการทำงาน
    แล้วยังมีวาจาดูถูกเหยียดหยาบ ยกตนว่าเป็นพุทธ
    กล่าวคุยกล่าวอ้างอวดตน ยกตนเอง พูดในสิ่งที่ตนเองยึดมั่นถือมั่น
    ใครเห็นต่างจากตัวเองไม่ได้ หนักเข้าหลงตัวเองคิดว่าตัวเองบรรลุ
    เป็นโน้นนั่นนี่ ถ้ามีจริตทางพิเศษก็จะหลงยึดในความสามารถ
    ที่ตนเองทำได้ ทั้งๆที่ความสามารถในการทำได้มันก็เกิดจาก
    ตัววิญญานมันไปยึดเอา สมาธิ อำนาจจากตบะเช่นกัน
    ซึ่งถ้า johh สังเกตุถึงระดับกลไก ก็จะพบว่า มันก็ปรุงแต่งเหมือน
    กับขันธ์ ๕ นามธรรมที่เล่าใหฟังไปตั้งแต่ตอนแรกนั่นหละ..
    ที่เล่ามาให้ฟังทั้งหมดเพื่อให้เห็นภาพรวมๆ
    ให้มองเห็นกระบวนการทำงานต่างๆของมัน...

    แล้วจะปฎิบัติอย่างไรต่อหละครับ พี่นพ...
    ถ้า johh ได้อ่านจะเข้าใจว่า พุทธศาสนา
    เราเน้นในกลไกล ของเรื่องปัญญา
    ซึ่งเชื่อได้ว่า เป็นกลไกลที่ทำให้สามารถ
    ไปถึงปลายทางได้ แต่ johh ก็ต้องเข้าใจพี่ไว้อย่างหนึ่งว่า
    ทุกคนไม่ใช่ผู้เป็นเลิศทางปัญญาลงมาเกิด
    แม้กระทั้งพี่ ก็ไม่ใช่ผู้เป็นเลิศทางปัญญา
    ที่เล่าให้ฟังนี้ เป็นการรู้ในกลไกลเพียงแค่ระดับหยาบๆ

    และเราก็ต้องรู้สภาพแวดล้อม วัฒนธรรมต่างๆด้วย
    รู้ว่าอะไรมาก่อน อะไรมาหลัง แม้เราจะรู้ว่าอะไรดีที่สุด
    แต่เราจะอยู่ร่วมกับที่มีมาก่อนหน้าอย่างแยบยลได้อย่างไร
    อยู่ร่วมกับสภาพแวดล้อมและสังคมได้อย่างแยบยลได้อย่างไร

    การที่มีจิตใจ ไปคิด แยกแยะ แบ่งฝัก แบ่งฝ่ายสิ่งที่มีมาก่อน
    มันฟ้องว่า เราขาดความสามารถในการอยู่ร่วมกับสังคม
    ขาดความสามารถในการใช้ชีวิตให้แยบยลกับสังคม..

    การที่ไปดูถูกดูแคลนสิ่งที่มีมาก่อน มันฟ้องว่า เรายังยึดติด
    กับสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด และจิตนอกจะไม่มีความเป็นกลางแล้ว
    จิตยังปรุงแต่ง สร้างลักษณะนิสัยออกไปทางไม่ดี...

    ถ้า johh เคยอ่านที่ พี่ เคยเขียนมา พี่จะบอกอยู่เสมอว่า
    เราควรให้ความเคารพนับถือ แต่ไม่ยึดถือ เคารพนับถือ
    ก็เพราะว่า เราไม่รู้กลไกล เราไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆ วัฒนธรรมต่างๆ
    เหล่านั้นมีมานานแค่ไหน ไม่ใช่ว่าพอรู้ว่า พุทธดีสุด
    ปัญญาดีสุด แล้วจะไปแยกแยะดูถูกดูแคลนสิ่งที่มามาก่อน
    มันไม่ควร มันเหมือนคนที่ลืมต้นกำเนิด ลืมตัวเอง..
    ยกตัวเอง ถ้าเราจบ ป.โท แล้วเราไปพูดว่า พวกนี้แค่ ม.6
    นี่คือลักษณะการลืมกำพืดตัวเอง เพราะกว่าเราจะจบ ป.โทได้
    เราก็ต้องเคยผ่าน ม.6 มาก่อน เพราะฉนั้นนิสัยอย่างนี้อย่าให้เกิด
    เราอย่าลืมว่า ถ้าไม่มี การนับถือผี ฤษี ชี ไพร พราหมณ์ต่างๆนั้น
    เราจะมี มหาบุรุษที่ค้นพบว่า สาเหตุให้เกิดทุกข์และวิธีการ
    ทำให้พ้นทุกข์ได้หรือไม่ ดังนั้นถ้ามองดีๆ สิ่งที่มีมาก่อนนั้น
    ล้วนแล้วแต่สร้างให้เกิด ความฉุกคิด ทำให้มหาบุรุษ
    ออกมาแสวงหาทางหลุดพ้นด้วยตัวเอง จนสำเร็จ
    เป็นศาสดาเอกของโลก
    และการจะเข้าใจกลไกลเข้าใจอะไรต่างๆเหล่านี้ได้
    จึงออกมาในรูปแบบคำพูดที่เรียกว่า '' วาระ ''
    ตามวาระที่เรามักจะยินบ่อยๆ..
    เพราะฉนั้นเราอยู่ใน ช่วงไหน เราก็แก้ปัญญาในช่วงนั้นๆไป
    แต่การปัญหานั้นแม้ว่ามันไม่ใช่ที่สุดก็จริง
    แต่ก็เป็นการแก้ปัญญาเพื่อที่จะดึงให้กลับ
    มาอยู่ในเส้นทาง เพื่อที่จะเตรียม
    ที่จะเดินต่อไปให้ถึงปลายทางได้นั่นเอง.....
    เพราะถ้าเราถึงปลายทางแล้ว คงไม่ต้องมีใครมากบอกมาสอน
    และถ้าเราฉลาดจริงเก่งจริง เราก็คงไม่ได้ต้องลงมาเกิดหรอก
    ดังนั้น ให้ค่อยๆเป็นค่อยๆไป เหนื่อยก็พัก
    เจ๊บก็รักษา ออกนอกทางมากไปก็ระลึกให้ไว้แล้วรีบเดินกลับมา
    เพราะในโลกนี้ ไม่มีใครหรอกที่เดินตรงไปยังเส้นทางได้
    โดยที่ไม่เคยออกนอกเส้นทางเลยตั้งแต่เกิดไม่มี
    แม้แต่ผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพก็ยังมาค้นพบว่า
    การที่สำเร็จอรูปฌานขั้นสุดท้ายจากอาจารย์ท่านที่ ๒
    ก็ยังไม่ใช่เส้นทางที่ไปถึงปลายทางได้
    ท่านถึงได้ออกมาแสวงหาเส้นทางที่ถูกด้วยตัวท่านเอง....

    ประเด็นนี้พูดทั่วไป พึ่งระลึกว่า เรามันก็แค่คนธรรมดา
    ที่เกิดมาได้พบว่า มีผู้ที่หาเส้นทางที่ถูกต้อง
    และเดินไปถึงปลายทางได้ทิ้งธรรมมะ
    ทิ้งลายแทงให้เดินไปถึงแล้ว...
    แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะเดินไปถึงได้แบบท่าน
    เพราะว่าเราไม่รู้ว่า เส้นทางเหลืออีกไกลแค่ไหน
    เราไม่รู้ว่า ปลายทางอยู่ตรงไหน
    แม้เราจะมีลายแทง แต่ก็ไม่ใช่จะไปนึกว่า
    ด้วยลายแทงนี้ จะทำให้เราเป็นพวกท่าใหญ่
    เที่ยวได้ยกลายแทงไปในระหว่างทาง
    แล้วเที่ยวไปดูถูก ไปดูแคลน บุคคลต่างๆ
    ที่เค้าอยู่ข้างๆเส้นทางที่จะไปปลายทางอย่างไรได้...

    เพราะเราไม่รู้ว่าทำไมเค้าต้องพัก
    มันมีอะไรที่ดึงเค้าให้พัก ตรงนี้เราไม่รู้
    เราไม่รู้ว่าทำไมเค้าไม่ไปต่อ..
    มันมีเหตุอะไรที่ทำให้เค้าไม่ไปต่อ ตรงนี้เราไม่รู้...

    เราแค่รู้ว่าปัญญาทางธรรมจะทำให้เราไปถึงปลายทางได้
    เราแค่รู้ว่า ปัญญาทางธรรมที่จะคลาย ตัวโลภ โกรธ หลงในใจ
    ที่จะไปดึงเอา ลาภ ยศ สุข สรรเสริญเข้ามาจนกลายเป็นกิเลส
    มันจะทำให้เราเดินทางไปถึงปลายทางได้ช้าลง

    และก็ไม่มีใครรู้ว่า ทำไมในระหว่างทางเราถึงพัก
    และไม่มีใครรู้ว่า ทำไมระหว่างทางเราถึงหยุด
    และแม้ว่าเราจะรู้ว่า ถ้าเราไม่พักเราจะถึงได้เร็ว
    แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร และแม้ว่าเราจะรู้ว่าทำตามลายแทง
    เราจะถึงได้แน่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแน่จริงหรือไม่เพราะเรายังไม่เคยไปถึง
    ดังนั้น ถ้าทำอะไรแล้ว เราเข้าใจว่ามันทำให้เราช้าก็เหลี่ยงซะ
    ถ้าทำอะไรแล้วมันส่งเสริมให้เราไปต่อได้ ก็ทำซะ
    ไม่ต้องไปสนใจว่า มันจะถึงหรือไม่ถึง หรือมันจะถึงเมื่อไร
    เพราะมันถึงแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่มีผู้ที่ไปถึงได้
    ทิ้งลายแทงไว้เบื้องหลังให้เราจนสืบต่อมาถึงทุกวันนี้แน่นอน..
    ปล พอเข้าใจภาพรวมๆกว้างๆแบบหยาบๆแล้วเนาะ







     
  13. saintyom

    saintyom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +777
    เห็นพี่นพตอบคำถามเรื่องควรจะบูชาพระอะไรแล้วผมอยากเล่าบ้าง
    ของผมนี่ห้อยอยู่ 2 องค์ครับ คือพระผงจักรพรรดิของหลวงตาม้า
    กับสมเด็จองค์ปฐมรุ่น 5 บูชามาจากซอยสายลมครับ สลับกัน 2 องค์
    แต่บางทีก็ขี้เกียจห้อย จะพยายามภาวนาพุทโธแทน
    โดยเฉพาะพระผงจักรพรรดินี่ พระที่ขอมาจากวัดถ้ำเมืองนะแล้วทางวัดส่งมาให้ฟรี ๆ
    แต่เป็นอะไรไม่รู้ครับ ผมชอบเหลือเกิน ใส่แล้วมีความสุขมากครับ ^^
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ดีแล้ว saint เพราะเอาจริงๆเลยนะ
    ในวงการที่ทำอะไรได้มากกว่าปกติ
    ที่มีครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิ
    เป็นพระมหาฤาษี(แนะเทคนิค) เป็นพระสงฆ์ (สอนกรรมฐาน)
    เป็นพรหมมีชื่อ(ส่งเสริมการใช้งาน) เทพมีชื่อ(แบ๊ค)
    หรือพระพุทธฯท่านอื่นๆ(สอนธรรม)
    แม้แต่พระโพธิสัตว์ทางจีน(แบ๊คและถ่ายทอดธรรม)
    พระอาจารย์ในดง(วิชาพิเศษ)
    ท่าน ลป.มีชื่อทางสายนั้น คงรู้ว่าใคร
    ล้วนแล้วแต่อยู่เบื้องหลังทางด้านพลังงานแทบทุกๆคน
    ที่พอทำอะไรๆได้ทั้งนั้นเกือบ ๙๙ เปอร์เซนต์
    เพียงแต่จะรู้ตอนไหนหรือไม่รู้เลย
    เป็นอีกเรื่อง ซึ่งการรู้ต่อให้ทำอะไรๆได้
    มาหลายปีก็ใช่ว่าจะรู้ได้นะ ว่าใครอยู่เบื้องหลัง (^_^)
    ประมานนี้หละ
     
  15. Gobshite

    Gobshite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +118
    พอมาถึงตรงนี้ผมเริ่มพอจะเข้าใจแล้วครับพี่นพว่าเราควรให้ความเคารพทุกภาค ไม่ควรถือว่าเราดีที่สุด ให้ความเคารพต่อหน้าที่ของเค้า เพราะขนาดพระพุทธท่านยังไม่ดูแคลนหรือถือตนเหนือใคร พอจะมองเห็นรอยต่อของความพอดีจางๆแล้วครับ ขอบคุณพี่มากที่เตือนสติไม่ให้หลงในตัวเอง

    เออ พี่นพครับแล้วผมสงสัยเรื่องพลังงานกระแสอย่างของพวกนี้เป็นเรื่องของทางภพภูมิใช่ไหมครับ ในเมื่อเป็นเรื่องของทางภพภูมิงั้นแสดงว่าการเดินทางของกระแสหรือพลังงานต้องมีปัจจัยอื่นเกี่ยวข้อง อันนี้ผมเข้าใจถูกไหมครับ ถ้าถูก ปัจจัยที่สำคัยคือตัวสภาพจิตอย่างเดียวใช่ไหมครับ หรือมีปัจจัยภายนอกทางโลกเกี่ยวข้อง ขอยกตัวอย่างเเช่นการสัมผัสได้ขณะเราสวดมนต์ทำสมาธิในห้องพระ แล้วอย่างนี้ปัจจัยที่เกี่ยวก็คือ สภาพจิตที่ตั้งมั่นในขณะนั้นเพียงอย่างเดียว หรือ เกี่ยวข้องไปกับการจัด องค์พระพุทธรูป การหันทิศ ซึ่งเป็นเรื่องทางโลกที่ ไม่รู้ว่าใครบัญญัติขึ้นมา แล้วอย่างนี้มีผลต่อการเข้าถึงกระแสหรือพลังงานไหมมากน้อยแค่ไหนครับ เพราะอย่างบางคนก็หันหน้าพระไปทางทิศใต้ ก็เชื่อว่าไม่ดี แต่บางคนก็ไม่ได้ถืออะไร แล้วตัวกระแสการเดินทางของพลังงานในทางภพภูมืนี่จะถูกรบกวนด้วยปัจจัยอื่นๆรึปล่าวครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2016
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ของ johh โดยรวมๆถือว่าเข้าใจถูกทางอยู่นะ
    เรื่องพลังงานความจริงแล้วมันเป็นเรื่องที่มีอยู่แล้วเป็นธรรมชาติ
    เพียงแต่เรามาปฏิบัติก็เพื่อให้เราเข้าใจธรรมชาติ
    และอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างแยบยล
    แต่อย่างว่า ด้วยธรรมชาติที่แยกได้ ๒ ส่วนแบบทั่วไปคือ
    ๑.แบบที่เป็นรูปธรรม และ ๒.คือนามธรรม
    ทางพุทธศาสนา เราเรียนรู้ที่จะเข้าใจนามธรรม
    แต่เราก็อาศัยรูปธรรมในการที่จะไปเข้าใจนามธรรม
    ก่อนที่สุดท้ายเราจะทิ้งรูปธรรมไปในที่สุดเพื่อให้หลุดพ้น
    และเพราะว่าทั้งรูปและนามธรรมนี่
    ก็ยังอาศัยซึ่งกันและกันอยู่เราจึงต้อง
    รักษาสมดุลย์นี่ให้ดี เมื่อใดที่รูปธรรม
    ไม่สามารถใช้ได้ นามธรรมก็จะไม่อยู่เช่นกัน
    และรูปธรรมก็มีแบบที่มันรู้ๆของมันเอง
    เช่น ดอกไม้มันรู้ว่ามันจะบานเมื่อไร
    หรือต้นไม้มันรู้ว่ามันจะต้องชี้ไปทางไหนเพื่อรับแสง
    แต่นามธรรมที่อยู่ในหายเรา ก็รู้ได้ด้วยการยังมีตัวเรา
    เช่น จากตบะ สมาธิ ญาณ ฯลฯ
    กับแบบไม่มีตัวเราเข้าไปกระทำเช่นกันนี่คือทั่วไปนะ
    ก็คือ การรู้ที่เป็นไปโดยธรรมชาติ เช่น อยู่ๆก็รู้เรื่อง
    โน้นนั้นนี่ได้ ก็คือ ระดับใช้งานของพระมีชื่อนั่นหละ...

    ส่วนพลังงานที่มีอยู่แล้วธรรมชาติ เพียงแต่ว่าตาปกติอาจจะมองไม่เห็น
    ส่วนตัวออกตัวก่อนว่า ไม่ได้รู้อะไรมาก การรู้ยังหยาบๆอยู่
    โดยที่พลังงงานนั้นก็มีระดับ คลื่นความถี่ที่แตกต่างๆกัน
    คลื่นความถี่ที่สูงทางโลกเรารู้ว่า เป็นระดับเทพ พรหมที่สูงๆ
    ส่วนคลื่นความถี่ที่ต่ำ ก็คือ ระดับเดียวกับโลกและต่ำกว่านั่นเอง...
    ซึ่งแน่นอนว่า ระดับคลื่นที่สูงกว่า ย่อมลงมาระดับที่ต่ำกว่าได้ตามปกติ
    ถามว่า ระดับคลื่นความถี่พวกนี้มาจากไหน ก็มาจากบุญ บารมี
    ที่ได้สะสมมาเฉพาะดวงจิตนั้นๆเอง แต่ด้วยที่มันยังเป็นคลื่น
    มีความถี่อยู่ มันจึงสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้
    ที่เราเข้าใจกันคือยังสามารถวนเวียนได้ในไตรภพนั่นหละ..

    และในช่วงของระดับคลื่นความถี่สูงและต่ำนี้
    ก็จะมีอยู่ระดับหนึ่ง ที่ไม่ข้องไม่เกี่ยวกับคลื่นใดๆ
    ไม่ขึ้นกับคลื่นความถี่ใดๆ ก็คือระดับที่หลุดพ้นไปแล้ว
    หรือที่เรียกว่ากลุ่มคลื่นที่ไม่มีการขึ้นหรือลง
    หรือว่าเวียนว่ายตายเกิด หรือมีการเปลี่ยนสถานะอะไรอีก
    ซึ่งด้วยที่คลื่นไม่ขึ้นอยู่กับระดับสูงหรือต่ำ
    จึงสามารถที่จะแทรกอยู่ที่ไหนก็ได้นั้นเอง

    อารัมภบท มาตั้งนานเกี่ยวกับที่ถามหรือยัง ก็ไม่เชิง
    แต่อยากจะให้เข้าใจภาพกว้างๆแบบหยาบไปก่อน
    คลื่นคือนามธรรม เครื่องมีที่ใช้ในการเข้าถึง
    ก็เป็นนามธรรมก็คือจิตที่อยู่ในกาย(จะพบว่ามันพึ่งพาซึ่งกันและกัน)
    แม้แต่คลื่นส่ง คลื่นรับ ก็อาศัยรูปธรรมในการส่งนามธรรม
    พอมองภาพออกไหม​​ แต่เครื่องส่งอาศัยอุปกรณ์อิเลคโทรนิคต่างๆ
    และอาศัยคลื่นหรือกระแสไฟฟ้าในการคลับเคลื่อน หรือแหล่งพลังงาน
    ต่างๆในการขับเคลื่อน เพื่อเข้าหาคลื่นที่เป็นนามธรรมด้วยกัน..
    เมื่อได้พลังงานขับเคลื่อนในส่วนนามธรรมแล้ว
    เราก็จะพบว่า มันก็ไม่ได้ทิ้งอุปกรณ์
    อิเลคโทรนิคเหล่านั้นแต่อย่างใด แม้ว่าตอนนั้นมันกำลังเข้าหา
    นามธรรมที่เป็นคลื่นต่างๆหรือสร้างตัวเองให้มีคลื่นอุปกรณ์เหล่านี้ก็ยังอยู่
    เปรียบได้กับจิตที่อาศัยอยู่ในการของเรา ถ้ามีกายกับจิตแต่ไม่มี
    พลังงานในการขับเคลื่อนในการเข้าหาเคลื่อนภายนอก มันก็จะเสมือน
    เครื่องส่งสัญญานที่ยังไม่ได้เสียบปลั๊กเพื่อหาพลังงานมาหนุน
    กายก็ใช้พลังงานมาหนุนในการส่งคลื่นและเข้าหาคลื่นต่างๆ
    ภายนอกตรงนี้ จากกำลังสมาธิของจิต ที่อาศัยกายเป็นเครื่องมือ
    ในการช่วยสร้างนั้นเอง ที่สำคัญอย่าลืมว่า กายก็ยังอยู่
    แต่หากว่าเริ่มต้นแล้ว การส่งคลื่นที่ออกจากจิตเรานั้น
    มันยังมีกายอยู่บางส่วน มันก็จะส่งผลกระทบขัดขวาง
    ในการส่งคลื่นได้ ที่เห็นได้ง่ายทางกายคือ เรารู้สึกทางกาย
    ด้วยกิริยาต่างๆนั้นหละครับ
    แล้วที่นี้เราจะแก้ปัญหาการขัดขวางการส่งคลื่นตรงนี้อย่างไร?
    เมื่อกายก็ยังมีอยู่ เมื่อจิตก็ยังอยู่ในกาย เราก็แก้ตรงที่ทำให้กาย
    มันตัดขาดกับจิตแบบชั่วคราวนั่นเองไงหละครับ...
    กายที่ตัดกับจิตขาดชั่วคราวแบบไม่ทั้งหมด เช่น สภาวะอุปจาสมาธิ
    ดังนั้นสภาวะนี้ จิตจึงเข้าถึงคลื่นต่างๆที่มีอยู่ภายนอกได้ บุคคลจึง
    มองเห็นนามธรรมต่างๆได้นั้นเอง ถ้าตัดได้แบบเด็ดขาดชั่วคราวจริงๆ
    ก็จะกลายเป็นการแยกจิตออกจากกายไปเลย ที่เราเรียกว่าถอดจิต
    (ระดับที่เห็นว่ามีอีกกายนอนอยู่ก่อนนะครับ)
    ถามว่าจะไปแบบเด็ดขาดเลยไม่ ทำได้ก็ดี แต่เราอย่าลืมว่าเราก็อาศัย
    กายอยู่ และการที่จะไปแบบนั้นมันใช้เวลาทำได้นาน หรือแทบจะทำได้ยาก
    ในความเป็นจริง เราจึงได้พบเห็นการใช้งานในระดับที่ตัดกับกายขาดได้
    แบบไม่ทั้งหมด...
    แต่ปัญหามันก็จะเกิดขึ้นอีก เมื่อมันตัดไม่ทั้งหมด แม้ว่าจิตจะเข้าถึงคลื่นภายนอกได้
    ไอ้ที่มันยังไม่ตัด ที่แทรกเข้าไปได้ ก็คือคลื่นเล็กๆน้อย เป็นคลื่นที่มาจาก
    สมองหรือประสาทของเรา ซึ่งมันยังสามารถปรุงแต่งได้ตามแต่ที่ข้อมูล
    ที่มันยังคงค้างอยู่ในสมองของเรานั่นเอง เป็นที่มาของคำว่า เผื่อ ในวง
    การสมาธิบ้านเรา เฝื่อไปเฝื่อมากลายเป็นแยกไม่ออกว่า มาจากสมอง
    ได้ส่วนน้อยๆที่มันยังไม่ตัด หรือเป็นความสามารถที่มาจากการที่จิตตัดกาย
    เมื่อทั้ง ๒ ส่วนนี้มันรวน เราจึงได้พบเห็นบุคคลที่มีอาการหนักไปทางวิกลจริต
    หรือเพี้ยน และจะยึดมันในสิ่งที่ตนเองได้สัมผัสนั่นเอง เหตุเพราะคิดว่า
    ตัดกายได้ แต่ประมาทส่วนที่มันยังคงเหลืออยู่เล็กๆน้อยๆ
    เราจึงมักได้ยินว่า ครูบาร์อาจารย์ท่านมักจะสอนให้มาวิปัสสนา เพิ่มขึ้น
    ส่วนหนึ่งก็เพื่อมาแก้ปัญญา ไอ้ตัวที่เหลือน้อยๆที่จะทำให้รวนในอนาคตนั้นเอง
    เราเรียกกันง่ายๆว่า ส่วนที่ทำให้ยึดมั่นถือมันนั่นหละครับ....

    ทำไมมันน่ากลัวจังเลยครับ พี่....เห้ย ! ใจเย็นๆอ่านต่อก่อนคุณน้อง...
    มันมีทางแก้อยู่ ทางแก้ก็คือ การที่ให้จิตเข้าสู่วิถีเป็นไปเองโดยธรรมชาติ
    โดยที่ไม่เกี่ยวเข้าไอ้เล็กๆน้อยๆเข้ามาเกี่ยวข้อง ไอ้เล็กน้อยๆยังรวมทั้ง
    ตบะ สมาธิ ญาณ ฌาน กำลังจิต สติ ปัญญา อีกด้วย เพราะว่าเมื่อแม้จิต
    เข้าสู่สภาวะที่ตัดกายได้เกือบหมด แต่ก็จะมีพวกนี้ อยู่เป็นส่วนเล็กส่วนน้อย
    คล้ายๆกับสภาวะสมองส่วนน้อยที่เหลือดังที่ได้เล่ามาก่อนหน้านั้นแล้วนั่นเอง....

    จำทำอย่างไรหละครับพี่ เพื่อไม่ให้จิตมีส่วนเล็กๆน้อยๆนี้ วิธีการก็คือ
    การที่จิตมันคลายตัวเองออกจากภายในนั่นไงหละครับ....
    มันถึงจะไม่ไปเกี่ยวกับไอ้ส่วนน้อยๆที่ยังมีผลอยู่ไม่ว่าอะไร
    ที่มันยังแอบอาศัยกายทำงานอยู่นั่นไงหละครับ

    แล้วทำอย่างไรหละครับพี่ ในทางปฏิบัติ
    พี่พูดมาเอาซะผมอ่านตามคิดว่ามันทำยากจังเลยครับพี่...
    ใจเย็นๆฟังพี่ต่อน้อง..

    ก็ด้วยหาอุบายที่ทำให้คลื่นมันทิ้งกายได้ทั้งหมดโดยไม่เหลือ
    ไอ้พวกเล็กๆน้อยๆที่มันแอบแทรกซิครับ...อะไรหละ...
    บทสวดมนต์ไงหละครับ แต่ก็ใช้เป็นอุบายในการเชื่อมโยงจิต
    เพื่อการทิ้งกาย ดังนั้นก็ต้องทิ้งบทสวดภายหลัง
    บทสวดก็คล้ายๆตัวที่เป็นสะพานนำไปฟ้าเข้าเครื่องส่งคลื่นนั้นหละ
    การใช้วัตถุที่สามารถช่วยให้ทิ้งกายได้ยังไงหละครับ....
    พระเครื่องก็เหมือนก็เป็นเครื่องส่งนำคลื่นให้ไปยังคลื่น
    ที่ไม่ขึ้นกับระดับสูงและต่ำยังไงหละครับ เป็นคลื่นไม่มีประมาณ
    เราจึงได้พบว่า เมื่อมีพระเครื่องเป็นเครื่องส่งแล้ว
    เราจึงสามารถทิ้งกายไปสูภายนอกได้เร็วขึ้น
    เพราะเนื่องจากคลื่นที่ไม่เกาะไม่เกี่ยว ก็จะไปหาคลื่นที่ไม่เกาะไม่เกี่ยวเช่นกัน

    เมื่อจิตคลายตัวได้ ก็เสมือนเป็นการเริ่มต้นเสียบปลั๊กให้ระบบเข้าหาคลื่น
    มันทำงานนั้นเอง ถ้าชำนาญแต่ไปก็แค่เสียบปลั๊กเมื่อไรคลื่นก็ส่งเมื่อนั้น
    แต่เวลาปกติ เราก็ไม่ได้ที่จะต้องเสียบปลั๊กไว้ตลอด
    เพราะเราก็ต้องพักกาย พักอุปกรณ์อิเลคโทรนิคบ้าง
    แต่เมื่อไรที่ต้องการเข้าถึงคลื่น เสียบปลั๊กเมื่อไรก็ควรติด...

    เราก็มาดูและจิตเรานี้ ปลั๊กเรานี้ ไม่ให้มัน ขาด มันชำรุด
    ไม่ให้มีกาว มีสิ่งสกปรกต่างๆที่จะเป็นตัวที่จะมาขวางคลื่นนี้
    ตัวขวางคลื่นนี้ ก็คือ พวกความคิดต่างๆฝ่ายร้อนหรือฝ่ายอกุศลต่างๆ
    คลื่นความลังเล สับสัย วิพากษ์ วิจารณ์ วิเคราะต่างๆนั้นเอง ...

    การตัดตัวขวาง ทำได้ง่ายๆถ้าหลับตา ก็ปิดตาลงมามองลิ้นปี่
    ถ้าลืมตาก็ทำตานิ่ง มองเหนือนผ่านมือที่กำลังพนม ตาไม่ต้องขยับ
    และตัดวงจรการใช้กายถ้ายังต้องออกเสียง ก็ตัดเสียงซะ
    เพื่อให้จิตทิ้งกายนี้ ถ้าสวดในใจ ลิ้นกับปากก็ไม่ต้องขยับตามเสียง...

    เส้นสายพลังงาน เหมือนเส้นสี่เหลี่ยมเรียงร้อยเป็นตาข่าย..
    เราดึงตรงกลางลงมา แผ่นสี่เหลี่ยมก็จะย่นระยะในแนวนอนด้านยาว
    และด้านสั้นให้น้อยลง
    เราส่งพลังงาน เราย่นระยะทาง ก็ใช้หลักการนี้
    การนึกถึงโน้นนั่นนี้ ก็เหมือนจิตไปดึง ตาข่ายตรงนั้นลงมา
    จิตถึงสัมผัสได้ รู้สึกได้ แม้ว่าจะระยะทางใกล้ไกลแค่ไหน
    เพราะว่า เราอยู่บนโลกใบนี้
    ก็ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้เส้นพลังงานเดียวกันนั่นแล...
    พอเข้าใจภาพรวมๆเนาะ ....

    วัตถุต่างๆ ก็ล้วนแต่มีพลังงานในตัวเอง
    และก็มีขีดจำกัดในตัวเองเช่นกัน
    แม้พลังงานตกค้างที่มีอยู่จะส่งได้บ้าง....
    แต่ด้วยการเข้าถึง คลื่นที่ไม่เกาะทั้งคลื่นต่ำคลื่นสูง
    เป็นประจำ ก็จะเป็นการดึงพลังงานที่ตกค้าง
    ในวัตถุนั้นๆให้เข้าถึงได้เช่นกัน โดยอัตโนมัติ
    เพียงแต่เราควรรู้ว่า วัตถุอะไรอยู่ในคลื่นพลังงาน
    ระดับไหน เราก็จัดเรียงร้อยไหม ให้อยู่ในต่ำแหน่งที่ควรซะ

    ปล.ง่วงนอน ขอถอดปลั๊กก่อน เอาประมาณนี้ก่อนเนาะ



     
  17. Gobshite

    Gobshite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +118
    ขอบคุณครับ พี่นพ พอจะมองภาพออกแล้วครับ

    ส่วนประโยคนี้ผมมีคำถามครับ
    เพียงแต่เราควรรู้ว่า วัตถุอะไรอยู่ในคลื่นพลังงาน
    ระดับไหน เราก็จัดเรียงร้อยใหม่ ให้อยู่ในต่ำแหน่งที่ควรซะ

    อันนี้เราจะทราบได้อย่างไรครับว่า ตำแหน่งที่ควร
    คือตำแหน่งไหนครับ ไม่แน่ใจว่าที่เข้าใจจะถูกต้องไหม
    เลยอยากได้คำขยายความเพิ่มเติมนะครับ :cool:
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ฝึกเอาเด่วรู้เอง
    เข้าถึงระดับสูงๆให้ชิน
    แค่นึกก็เข้าได้ในเสี้ยววิ
    เวลาปกติก็วาง
    ให้ร่างกายและจิตเคยชิน
    เค้าดรียกว่าการ
    สร้างภูมิต้านท้านแบบธรรมชาติ
    จะเข้าถึงคลื่นต่ำกว่าได้สบายๆ
    และรู้จักใช้การสังเกตุร่วมด้วย(สติทางธรรมเป็นตัวบอก)
    เราจะแยกได้ด้วยตัวเราเอง
    เพราะภาพมันยังปรุ่งแต่งได้(ติดภาพเห็นเพี้ยนๆ
    ขาดๆเกิ๊นๆ ยึดๆมาเยอะ
    ถ้าขาดเรื่องเดินปัญญาและสร้างสติรับรองเสร็จทุกราย)
    ระดับคลื่นไม่สูงมากก็สามารถปรุงเป็นภาพให้สูงได้
    (เคยได้ยินไหมผีหลอกในสมาธิ
    คือแปลงเป็นที่เราศรัทธา เพราะเค้าเห็นในจิตเรา)
    แต่ว่าจะไม่นาน กำลังสติทางธรรมจะทำให้
    เราเห็นความจริงตรงนี้(มองให้นานที่สุด
    และรู้จักสังเกตุสภาพแวดล้อมที่เห็นร่วมด้วย)
    แต่ถ้าคลื่นพลังงานจะเป็นเฉพาะความถี่
    เพราะมีฐานมาจากบุญบารมีร่วมด้วย
    ที่รู้ว่าเป็นระดับไหน เด่นอะไร
    ก็จากการรู้จักสังเกตุ
    ลักษณะคลื่นความถี่นี่หละ
    ยกตัวอย่าง นิ่ม เบา แรง หนัก
    หมุนตรงโน้นนี่นั่นที่กาย
    ใช้ตรวจสอบบารมี กำลังจิต
    ระดับสมาธิ ความสามารถด้านต่างๆ
    ได้ดีนักแล ว่าอะไรใครเป็นอย่างไรจริงๆ
    เพราะมันพูด มันเขียนไม่ได้
    และ มันใช้หน้าม้า
    หรือพยายามสร้างภาพไม่ได้
    มันมาจากการสร้างและสะสม
    เฉพาะดวงจิตนั้นๆจริงๆ
    ที่ๆจะเป็นที่สุด
    คือคลื่นระดับ
    ที่เรียกว่า "ไร้ร่องรอย"
    คือไม่เหลือเชื้อ ผูกพันธ์
    ที่จะก่อให้เกิดกะแสวิบากนั่นหละ(^_^)
     
  19. TheKunKeng

    TheKunKeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +919
    ผมอยากจะถามคุณ nopphakan ว่าเกี่ยวกับกระแสวิบากกรรม
    ถ้าเกิดว่าเราไม่คิดเรื่องนั้นๆ ที่จะนำพาให้เราทุกข์และเดือดร้อนได้ในอนาคต(เกี่ยวกับเรื่องงานและโยงไปครอบครัว) แต่ว่า เหตุการณ์นั้นมีเคล้าว่า อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะว่าปัจจัย ต่างๆ ที่จะประกอบให้เกิดนั้น มันค่อยๆ ทยอย มา ทีละเล็กละน้อย (จากที่ผมพอจะสัมผัสได้) มันเกิดจากอะไรครับ หรือว่ามันอาจเกิดจากที่จิตผม ในส่วนลึกยังคิดกังวล,เป็นทุกข์ แล้วก็กลัวมันจะเกิดขึ้นอะครับ ไม่ตัดใจปลง หรือไม่คิดถึงเรื่องนี้ให้ได้ 100% แบบว่าเหมือนผมคิดว่าพยายามไม่คิดแล้ว แต่ลึกๆ จิตมันยังคิดอยู่อะครับใช่หรือไม่ และก็จิตผมที่คิดตัวนี้ได้ เปิดทางให้กระแสจิตของ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ผมเคยกระทำไม่ดีกับพวกเค้าไว้ ได้เห็นช่องทาง ที่จะเล่นงานผมอะครับ ซึ่งบางทีบางเหตุการณ์เหมือนเค้าต้องการจะหยั่งเชิงผม แบบว่า แค่อยากจะลองดูว่า ผมเป็นยังไง กังวลมากเป็นทุกข์มาก หรือกลัวมากมั๊ย (เหมือนการทดสอบ) แต่บางทีก็เหมือนจะเอาจริงกับผมเลย แบบสถานการณ์ที่เค้าสร้างขึ้น มันก็ดูเหมือนจะประกอบรวมกันเป็นเหตุการณ์ที่จะนำพาให้ผมทุกข์และเดือดร้อนในอนาคตอะครับ ผมเลยไม่รู้แท้จริงแล้ว เหล่าบรรดาเจ้ากรรมนายเวรของผมบางส่วนได้ อโหสิกรรม ให้ผมเเล้วหรือไม่ หรือว่า ยังไม่อโหสิกรรมกับผม แต่ว่าแค่ลองเชิง นิดๆหน่อยๆ ดูก่อน(เพื่อทดสอบ) ให้ผมค่อยทำใจปรับตัว ไปเรื่อยๆ เพื่อรอจัดหนักผม จริงๆ ในอนาคต อะครับ ผมเลยยังไม่รู้ว่าจะมีวิธีทีที่จะพิสูจน์ได้หรือไม่ว่า... กรรมบางเรื่องของตัวเรานั้น ได้ถูกชดใช้ไปจนหมดสิ้นรึยัง หรือ ไม่ก็เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมไปแล้วรึยังอะครับ รบกวนคุณ nopphakan ทีนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2016
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ในโลกนี้จำไว้เลยแม้แต่ผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพก็ยังเจอวิบากได้ครับ
    เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับน้ำที่จะดื่มก่อนไปฉันท์อาหารมื้อสุดท้ายไหม...
    เคยได้ยินเรื่องราวของครูบาร์อาจารย์มีชื่อที่เสียชีวิตเพราะเครื่องบินตกไหม...
    เคยได้ยินเรื่องฟ้าฝ่าท่านในกุฏิไหม

    เพราะฉนั้นเรื่องแบบนี้เราไม่ต้องไปสนใจว่า เพราะอะไร จากไหน
    หมดหรือไม่หมดครับ จำเอาไว้เลยว่ามีไม่มีก็ช่างมันให้เฉยๆ
    ยกเว้นว่าเราจะสามารถย้อนรู้ถึงสาเหตุได้ด้วยตัวของเราเองจากการปฏิบัติ
    และจำเอาไว้ว่า เรื่องนี้เป็น ๑ ใน ๔ เรื่องที่พระพุทธฯเจ้าท่านห้าม
    (มีเรื่องความสามารถพระพุทธฯ เรื่องญานวิถีของบุคคล เรื่องโลกเรื่องจักรวาล)
    ห้ามไปสนใจ คำว่า ห้ามก็คือ อย่าไปสนใจ เพราะฉนั้นอย่าไประลึก รู้สึก นึกขึ้นมา
    เป็นอันขาด....เพราะมันจะทำให้ความเข้าใจทางนามธรรมเราไม่ดี
    ทำให้การปฏิบัติเรามันล่าช้า ไม่ก้าวหน้า
    ทำให้ยึดให้ติดในเรื่องนามธรรมได้แทบทุกเรื่อง
    และจะทำให้หลงตัวเองได้อย่างคาดไม่ถึง
    แม้ว่าความสามารถในการทำได้ของจิตเราจะน้อย
    แต่เราจะหลงตัวเองได้ แบบใครบอกไม่ได้
    อย่างที่โลกภายนอกจะงงกับเราได้
    และหากพยายามไปคิดวิเคราะห์ร่วมด้วยโดยใช้ตรรกะ
    ทางโลก มันจะเป็นเหตุให้เราวิกลจริตได้

    แต่ไม่ใช่บอกว่าไม่ให้คิด ถ้าจะคิดๆได้
    คิดในเรื่องการเรียน การทำมาหากินอย่างนี้ได้..




    และการที่จิตเราไม่คิด ไม่ระลึก ไม่นึกขึ้นได้ จริงอยู่ว่าแม้จะทำให้วิบากนั้นเข้าไม่ถึง
    แต่เราอย่าลืมว่า การที่ตัวจิตจะตัดวิญญานการรับรู้ตรงนี้ได้จริงๆ ต้องอาศัยองค์ประกอบ
    หลายๆอย่างร่วมกัน เช่น ปัญญาทางธรรมที่ยอมรับผลของความเป็นจริง
    แต่นั้นก็ต้องอยู่ในสภาวะที่จิตเป็นกลางร่วมด้วย หรือการใช้กระแสเย็นมากๆ
    เพื่อไปต้านกับกระแสวิบากที่เป็นกระแสร้อนตรงๆนี้ หรือ การอโหสิกรรมออกจาก
    กลางจิต เวลาที่ระลึกขึ้นได้ นึกขึ้นได้ คิดขึ้นได้ เพื่อผลักกระแสวิบากตรงนี้
    ให้ออกจากตัวจิต(ออกแต่ยังอยู่ใกล้ๆไม่ได้หายไปนะ) หรือ การใช้กำลังบุญ
    ที่ออกจากตัวจิตให้ขยายกว้างออกไปเพื่อไปลบกระแสวิบากที่เข้ามาใกล้จิต
    ของเรา...
    ซึ่งวิธีการสุดท้ายนี้ ท่านที่พ้นตัวจิตมักจะคลายตัวและขยายตัวออกกว้าง
    โดยมีบารมีที่ท่านได้สะสมร่วมด้วยแบบธรรมชาติ
    จากปัญญาทางธรรมที่ท่านมีทำให้จิตท่านไม่ยึดมั่นถือมั่นเรื่องอะไร
    เมื่อจิตขยายออกกว้างการที่วิญญาณ
    หรือกระแสต่างๆภายนอกจะเข้ามาปรุงร่วมกับท่านเลยเป็นไปได้ยาก
    แต่ไม่ใช่ว่าเรื่องภายนอกมันไม่มี มันมีอยู่แล้วเป็นปกติโดยธรรมชาติ แต่ไม่สามารถเกาะตัวจิตได้
    แต่อย่างเราๆ คงจะเป็นแบบท่านไม่ได้ ไม่งั้นเราก็เป็นอรหันต์ไปแล้ว
    ดังนั้นที่ทำให้ได้ดีที่สุดสำหรับเราๆก็คือ อย่าพยายามส่งตัววิญญาณ
    ไปเชื่อม ส่งไปรู้ ไม่งั้นกะแสต่างๆเหล่านี้มันจะเข้ามาหาตัวจิตเรา
    อย่างที่เราคาดไม่ถึง เมื่อมันร่วมแล้วเราจะไปพิจารณาอะไรมันก็ไม่มีผล
    ทำได้ดีที่สุดทำของเราให้ดีที่สุด ทำอย่างไรก็ได้ เพื่อไม่ให้มันระลึก
    นึกขึ้นได้ โดยปกติแล้ว เราจะใช้ตัวปัญญานี่หละ
    เป็นตัวคลายเรื่องต่างๆเหล่านี้ เพราะการผลักการใช้กุศลขยาย
    หรือการขยายจิตให้กว้างมันเรื่องชั่วคราว และทำได้เป็นบางกลุ่ม
    แต่ที่จะถาวรจริงๆก็คือเรื่องปัญญาทางธรรมที่มี
    จนจิตเห็นว่า เรื่องอะไรก็ตามที่ทำให้จิตเกิดมันเป็นทุกข์
    เมื่อจิตเห็นว่ามันเป็นทุกข์จิตมันก็จะไม่เกิดอีก(ปัญญาทางธรรมที่มาก
    พอให้จิตเห็นได้) และสติกับปัญญาต่อไป
    มันก็จะทำหน้าที่แทนความคิดของเรา(ความคิดที่เคยปรุงร่วมกับจิต
    ลักษณะคือ คิดอย่างไรก็ได้ เช่น บอกว่านี่ดี หรือไม่ดีก็ได้)
    และท้ายสุดแม้สติ และปัญญาที่มีก็ต้องวางเช่นกัน
    พูดถึงว่าถ้าจะไม่กลับมาเกิดอีกนะ

    ดังจะเห็นได้ว่า ทางพุทธฯเราจะเน้นที่สุดคือเรื่องปัญญาทางธรรม
    ซึ่งต้องมาจากจิตที่เป็นกลาง(การที่ยังระลึกได้ นึกขึ้นได้ คิดขึ้นได้ ปรุงได้
    คือ จิตมันปรุงร่วมไปเรียบร้อยแล้ว) ดังนั้นกำลังสติทางธรรมที่จะเหมือนเป็น
    เครื่องมือในการควบคุมความคิด ควบคุมพฤติกรรมของจิต ที่จะให้คลายจาก
    ตรงนี้ถึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ก็ทำได้อย่างหากว่าเราไม่เจริญสติให้มัน
    ต่อเนื่องจริงๆ เราจะไม่ทันการปรุงแต่งตรงนี้(คือไม่ทัน การนึกขึ้นได้
    การระลึกขึ้นได้ การปรุงแต่งไปแล้ว) เพียงแต่เราจะไปรู้เพียงแค่ว่า
    มันระลึก มันปรุง มันนึกขึ้น ตอนไหน แต่จะไม่รู้ว่า มันดับเมื่อไร
    และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร(ซึ่งสติทางธรรมเป็นตัวที่ให้เท่าทัน
    วิบากตรงนี้เฉยๆ อาจดับได้ด้วยวิธีการใดๆก็ตาม แต่ถ้าจะทำให้คลาย
    กระแสวิบากตรงนี้ต้องมาจากปัญญาทางธรรม ที่เคยปล่อยให้จิต
    ได้รู้เห็น ตามความจริงด้วยสภาวะเป็นกลางมาแล้วนั้นเอง)

    เรื่องวิบากตรงนี้ ให้เฉยๆ ไม่ต้องไปอะไรๆกับมัน
    การไปรู้ ไประลึก ไปนึกขึ้น ไปร่วมด้วยต่างๆนานา
    ในทางกิริยาคือจิต เรามันมีตัววิญญานตรงนี้ไปเชื่อมแล้ว
    เพราะฉนั้นถ้าเชื่อมก็คือ มันก็ยังผูกในจิตของเรา
    แม้เราจะหาหนทางแก้ยังไง ตัวที่เชื่อมมันก็จะรู้และเข้าใจจิตเรา
    เพราะมันรวมกับเราอยู่. เหมือนเรากระซิบบอกคนอื่นๆเบาๆ
    แต่มีอีกคนที่ฝั่งเครื่องขยายเสียงส่งตรงไปยังหูเค้าคอยแอบฟังเรานั่นหละ...

    ใจที่เป็นกลาง ทำให้ไม่มีตัววิญญานไปเชื่อม เหมือนเราเอาเครื่องดักฟังออก
    พอนึกภาพออกไหม


    ปล TheKunKeng อ่านดีๆและค่อยๆทำความเข้าใจ
    ไม่งั้นการปฏิบัติที่ผ่านมามันจะเสียเวลาเฉยๆครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...